ภาวะตลาดตราสารหนี้ไทยประจำสัปดาห์: มีมูลค่าการซื้อขายรวม 427,167 ลบ.

ข่าวหุ้น-การเงิน Monday November 11, 2013 17:56 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

สมาคมตลาดตราสารหนี้ไทย (ThaiBMA) สรุปภาวะตลาดตราสารหนี้ประจำสัปดาห์ (4 - 8 พฤศจิกายน 2556) ปริมาณการซื้อขายตราสารหนี้มีมูลค่ารวม 427,167 ล้านบาท หรือเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณวันละ 85,433 ล้านบาท ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากสัปดาห์ก่อนหน้าประมาณ 6% ทั้งนี้เมื่อแยกตามประเภทของตราสารแล้วจะพบว่ากว่า 68% ของมูลค่าการซื้อขายทั้งหมด หรือประมาณ 292,366 ล้านบาท เป็นการซื้อขายในตราสารหนี้ที่ออกโดยธนาคารแห่งประเทศไทย (State Agency Bond) ซึ่งส่วนใหญ่แล้วเป็นตราสารที่มีอายุคงเหลือค่อนข้างน้อย (ไม่เกิน 6 เดือน) ขณะที่พันธบัตรรัฐบาลที่ออกโดยกระทรวงการคลัง (Government Bond) มีมูลค่าการซื้อขายเท่ากับ 85,905 ล้านบาท และหุ้นกู้ที่ออกโดยภาคเอกชน (Corporate Bond) มีมูลค่าการซื้อขายเท่ากับ 5,603 ล้านบาท หรือคิดเป็น 20% และ 1% ของมูลค่าการซื้อขายทั้งหมดที่เกิดขึ้น ตามลำดับ

สำหรับพันธบัตรรัฐบาล รุ่นที่มีปริมาณการซื้อขายสูงที่สุด 3 อันดับแรกคือรุ่น LB196A (อายุ 5.6 ปี) LB176A (อายุ 3.6 ปี) และ LB236A (อายุ 9.6 ปี) โดยมีมูลค่าการซื้อขายในแต่ละรุ่นเท่ากับ 28,502 ล้านบาท 16,093 ล้านบาท และ 8,270 ล้านบาท ตามลำดับ ส่วนพันธบัตรที่ออกโดยธนาคารแห่งประเทศไทย รุ่นที่มีปริมาณซื้อขายสูงสุด 3 อันดับแรก คือรุ่น CB13N26A (อายุ 14 วัน) CB14206B (อายุ 69 วัน) และ CB14109A (อายุ 91 วัน) มูลค่าการซื้อขายเท่ากับ 31,640 ล้านบาท 22,137 ล้านบาท และ 19,981 ล้านบาท ตามลำดับ

ขณะที่หุ้นกู้ภาคเอกชน ที่มีปริมาณการซื้อขายสูงที่สุด 3 อันดับแรก ได้แก่ หุ้นกู้ของบริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน) รุ่น CPALL16OB (A+) มูลค่าการซื้อขาย 722 ล้านบาท หุ้นกู้ของบริษัท อยุธยา แคปปิตอล ออโต้ ลีส จำกัด (มหาชน) รุ่น AYCAL145A (A+) มูลค่าการซื้อขาย 711 ล้านบาท และหุ้นกู้ของบริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน) รุ่น CPALL18OB (A+) มูลค่าการซื้อขาย 401 ล้านบาท

เส้นอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาล (Yield Curve) เคลื่อนไหวอยู่ในกรอบแคบๆ หรือปรับตัวเพิ่มขึ้น / ลดลงในช่วงประมาณ -3 ถึง +1 Basis Point (100 Basis Point มีค่าเท่ากับ 1%) ทั้งนี้ บรรยากาศการลงทุนในตลาดตราสารหนี้ได้รับปัจจัยบวกจากความกังวลของนักลงทุนต่อสถานการณ์ความวุ่นวายทางการเมืองที่กำลังเกิดขึ้น จากการชุมนุมคัดค้านร่างกฎหมายนิรโทษกรรม และมีผลให้นักลงทุนในประเทศโยกเงินบางส่วนเข้ามาลงทุนในตราสารหนี้มากขึ้นเพื่อลดความเสี่ยง อย่างไรก็ตาม จากการประกาศตัวเลขประมาณการณ์ GDP ไตรมาส 3/56 ของสหรัฐฯ ที่ขยายตัว 2.8% ซึ่งเป็นอัตราสูงสุดตั้งแต่ไตรมาส 3/55 ซึ่งเป็นสัญญาณเชิงบวก ที่บ่งชี้ถึงการขยายตัวที่ดีของเศรษฐกิจสหรัฐฯ ส่งผลให้นักลงทุนคาดว่า ธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) อาจจะชะลอมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ (QE) เร็วกว่าที่คาดไว้ ประกอบกับความไม่แน่นอนทางการเมืองภายในประเทศไทย ทำให้มีแรงขายของนักลงทุนต่างชาติในตลาดตราสารหนี้ระยะสั้น แต่ยังมีแรงซื้อสุทธิในตราสารหนี้ระยะสั้นที่บ่งชี้ถึงความมั่นใจในการลงทุนระยะยาวในประเทศไทยของนักลงทุนต่างชาติอยู่เช่นเดิม และด้วยแรงซื้อสลับกับแรงขายของนักลงทุนหลายกลุ่ม อัตราผลตอบแทนของพันธบัตรจึงเคลื่อนไหวอยู่ในกรอบแคบๆ ตลอดทั้งสัปดาห์

ในสัปดาห์นี้นักลงทุนต่างชาติมียอด ขายสุทธิ ในตราสารหนี้ทุกประเภท (ทั้งระยะสั้น และระยะยาว) รวมกัน 14,524 ล้านบาท โดยแบ่งเป็นการซื้อสุทธิในตราสารหนี้ระยะยาว 6,163 ล้านบาท และ ขายสุทธิในตราสารหนี้ระยะสั้น (อายุคงเหลือน้อยกว่า 1 ปี) 20,687 ล้านบาท ทางด้านนักลงทุนรายย่อยมียอดซื้อสุทธิ 333 ล้านบาท


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ