“เรามีแผนที่จะขยายตลาดไปยังประเทศในอาเซียนมากขึ้น โดยเฉพาะเวียดนาม ซึ่งจะเป็นตลาดใหม่ ในขณะเดียวกันก็จะเน้นในตลาดเดิมทั้ง 3 ประเทศ ได้แก่ อินเดีย ฟิลิปปินส์ และอินโดนีเซีย เพราะคาดว่าในอนาคตประเทศเหล่านี้จะมีความต้องการใช้ถ่านหินในการผลิตไฟฟ้ามากขึ้น เพื่อรองรับการขยายตัวทางเศรษฐกิจ"นายชนินท์ กล่าว
ปัจจุบัน ตลาดส่งออกถ่านหินของบ้านปูฯ ประกอบด้วย จีน ญี่ปุ่น ไต้หวัน เกาหลีใต้ อินเดีย ฟิลิปปินส์ มาเลเซีย ฮ่องกง อินโดนีเซีย ไทย ออสเตรเลีย สหรัฐอเมริกา และอิตาลี
ทั้งนี้ BANPU รายงานผลดำเนินงานประจำไตรมาส 3/56 มีกำไรสุทธิจำนวน 30 ล้านเหรียญสหรัฐ (ประมาณ 944 ล้านบาท) เพิ่มขึ้นร้อยละ 42 จากไตรมาส 2/56 เป็นผลจากการปรับลดต้นทุนการผลิต ซึ่งผลการดำเนินดังกล่าวถือว่าอยู่ในเกณฑ์ที่ดี ในสภาวะที่ราคาถ่านหินอ่อนตัว อย่างไรก็ตามราคาถ่านหินในขณะนี้ถึงจุดต่ำสุดแล้ว และเริ่มมีเสถียรภาพ
นายชนินท์ กล่าวว่า แม้ว่ากำไรสุทธิในไตรมาสนี้จะลดลงหากเปรียบเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปี 55 แต่กำไรสุทธิจำนวน 30 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ในไตรมาส 3/56 ถือว่าอยู่ในเกณฑ์ที่ดี เมื่อเทียบกับสถาวะราคาถ่านหินในตลาดโลกที่อ่อนตัวลงมาตั้งแต่กลางปี 55 ที่ผ่านมา โดยในไตรมาส 3/56 ราคาขายถ่านหินเฉลี่ยของบ้านปูฯ อยู่ที่ 70.14 เหรียญสหรัฐต่อตัน ส่วนราคาขายถ่านหินเฉลี่ยของแหล่งผลิตในประเทศอินโดนีเซียเท่ากับ 72.65 เหรียญสหรัฐต่อตัน ขณะที่ราคาขายถ่านหินเฉลี่ยจากเหมืองในประเทศออสเตรเลียเท่ากับ 70.90 เหรียญออสเตรเลียต่อตัน
อนึ่ง ในไตรมาส 3/56 บริษัทมียอดผลิตและจำหน่ายถ่านหินรวมจำนวน 10.72 ล้านตัน ใกล้เคียงกับไตรมาสก่อนหน้า แบ่งเป็นการผลิตและจำหน่ายถ่านหินจากแหล่งผลิตในอินโดนีเซีย และออสเตรเลียจำนวน 7.51 ล้านตัน และ 3.21 ล้านตัน ตามลำดับ
"ราคาถ่านหิน ณ ปัจจุบัน ถึงจุดต่ำสุดแล้ว และเริ่มมีเสถียรภาพมากขึ้น โดยเฉพาะในไตรมาส 3 ที่ ผ่านมานั้น ถือว่าผลประกอบการของบ้านปูฯ อยู่ในเกณท์ที่ดี เมื่อเทียบกับสภาวะถ่านหินในตลาดโลก"นายชนินท์กล่าว
ในไตรมาส 3/ 56 บริษัทมีรายได้จากการขายรวม 809 ล้านเหรียญสหรัฐ (ประมาณ 25,477 ล้านบาท) โดยร้อยละ 94 หรือจำนวน 760 ล้านเหรียญสหรัฐ (ประมาณ 23,924 ล้านบาท) มาจากการขายถ่านหิน ส่วนอีกร้อยละ 5 หรือ 41 ล้านเหรียญสหรัฐ (ประมาณ 1,291 ล้านบาท) มาจากการจำหน่ายไฟฟ้าและไอน้ำ โดยธุรกิจไฟฟ้าในไตรมาส 3/56 รับรู้ผลกำไรของโรงไฟฟ้าบีแอลซีพี จำนวน 27 ล้านเหรียญสหรัฐ (ประมาณ 850 ล้านบาท) ส่วนโรงไฟฟ้าในประเทศจีนบันทึกกำไรสุทธิจำนวน 3 ล้านเหรียญสหรัฐ (ประมาณ 94.44 ล้านบาท)
"แม้ว่าสภาวะตลาดถ่านหินจะยังคงไม่เอื้ออำนวย แต่ด้วยมาตรการที่เน้นการบริหารต้นทุนการผลิตให้เหมาะสมกับสภาวะตลาด เชื่อว่าจะสามาถช่วยลดผลกระทบต่อการดำเนินงานของบ้านปูได้ โดยในไตรมาส 3/56 ต้นทุนเฉลี่ยของเหมืองในอินโดนีเซียอยู่ที่ 48 เหรียญสหรัฐต่อตัน ส่วนเหมืองถ่านหินในออสเตรเลียมีต้นทุนเฉลี่ยที่ 52 เหรียญออสเตรเลียต่อตัน ตามลำดับ"นายชนินท์ กล่าว