นางสุวรรณา พุทธประสาท รองกรรมการผู้จัดการสายสนับสนุนปฎิบัติการ QH เปิดเผยว่า บริษัทคงเป้ารายได้ปีนี้ 18,000 ล้านบาท หลังจาก 9 เดือนแรกมีรายได้แล้ว 15,647 ล้านบาท ส่วนยอดขายทั้งปีที่ตั้งไว้ 20,000 ล้านบาท จาก 9 เดือนที่ผ่านมาทำได้แล้วกว่า 16,900 ล้านบาท หรือคิดเป็น 84% ของเป้าหมายทั้งปี ด้านกำไรคาดว่าจะเติบโตมากกว่าปีก่อน 50% เนื่องจากการรับรู้รายได้จากคอนโดมิเนียมและบ้านเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง
ขณะที่บริษัทมี Backlog แล้วประมาณ 10,000 ล้านบาท ซึ่งจะทยอยรับรู้เป็นรายได้ในปีนี้ประมาณ 2,500 ล้านบาท จากนั้นในปี 57 รับรู้ฯ อีกประมาณ 3,500 ล้านบาท และในปีถัดไปประมาณ 4,000 ล้านบาท
นางสุวรรณ กล่าวอีกว่า ในไตรมาส 4/56 บริษัทมีแผนเปิดโครงการใหม่อีก 5 โครงการ มูลค่ารวม 3,197 ล้านบาท แบ่งเป็นโครงการภายใต้แบรนด์ ควอลิตี้ เฮ้าส์ 1 โครงการ ซึ่งเป็นบ้านเดี่ยวระดับพรีเมียมที่ จ.เชียงใหม่,โครงการภายใต้บริษัท คาซ่าวิลล์ จำกัด 3 โครงการ ประกอบด้วย บ้านเดี่ยว 2 โครงการที่กรุงเทพฯและคอนโดมิเนียม 1 โครงการที่เชียงใหม่ รวมทั้ง โครงการภายใต้แบรนด์ "เดอะทรัสต์" 1 โครงการ เป็นคอนโดมิเนียมที่ต่างจังหวัด
"สภาพเศรษฐกิจและสถานการณ์โดยรวมของประเทศ จะไม่ส่งผลต่อการดำเนินงานในธุรกิจการขายอสังหาริมทรัพย์ในไตรมาส 4 และคาดว่าผลประกอบการทั้งปีน่าจะเป็นไปตามเป้าที่วางไว้ได้"นางสุวรรณ กล่าว
นอกจากนี้ บริษัทมีแผนจะออกหุ้นกู้เดือนนี้จำนวน 2,000 ล้านบาท ดอกเบี้ยไม่เกิน 4.2% และในช่วงไตรมาส 1/57 อีก 4,000 ล้านบาท เพื่อออกมารีไฟแนนท์หุ้นกู้เดิมที่หมดอายุลงในเดือน มี.ค.-เม.ย.57
สำหรับปี 57 บริษัทมีแผนเตรียมนำโรงแรมเซ็นเตอร์พ้อยท์สีลมขายเข้าเป็นสินทรัพย์ของกองทุนอสังหาริมทรัพย์ QHHR ในไตรมาส 1/57 มูลค่าไม่เกิน 550 ล้านบาท และตั้งงบลงทุนซื้อที่ดินในปีหน้าไว้มากกว่าปีนี้ที่ใช้งบลงทุนราว 3,000 ล้านบาท จากปีนี้มีงบซื้อที่ดินทั้งสิ้น 3,000 ล้านบาท ทั้งนี้ จะมีการเปิดโครงการในปีหน้าทั้งสิ้น 21 โครงการ จากที่มีที่ดินอยู่แล้ว 21 แปลง แบ่งเป็นต่างจังหวัด บ้านเดี่ยว 3 โครงการ และคอนโดมิเนียม 5 โครงการ และที่เหลือเป็นพื้นที่กรุงเทพฯและปริมณฑลอีก 13 โครงการ
นายรัตน์ พานิชพันธ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการ QH กล่าวว่า ในปี 57 จะมีการปรับกลยุทธ์ด้านภาคการก่อสร้าง เนื่องจากได้รับผลกระทบจากการขาดแคลนแรงงาน ค่าแรงและต้นทุนค่าวัสดุ อุปกรณ์ปรับตัวสูงขึ้น จึงต้องปรับกลยุทธ์โดยการนำระบบ Pre-fab เข้ามาใช้ ซึ่งเป็นการลดต้นทุนหาวัสดุทดแทน และปรับวิธีการก่อสร้างเปลี่ยนมาใช้วัสดุสำเร็จรูปจากโรงงาน ซึ่งจะสะท้อนถึงผลกำไรในปีหน้าที่จะเพิ่มขึ้น 2% และต้นทุนจะลดลง 3-4%
"มองปี 57 ภาพรวมอสังหาริมทรัพย์น่าจะดีกว่าปีนี้ โดยในปีนี้ภาพรวมของเศรษฐกิจไม่ค่อยดีจากที่ไม่มีนโยบายรถคันแรกเข้ามากระตุ้นเหมือนในปีก่อนหน้า ซึ่งหวังว่าในปีหน้าก็จะไม่มีนโยบายดังกล่าวอีก เนื่องจากโครงการนี้ส่งผลให้ระบบเศรษฐกิจไม่เป็นไปตามระบบปกติ อย่างไรก็ตาม เศรษฐกิจปีหน้าก็น่าจะดีขึ้นในทุกภาคส่วน โดยเฉพาะการส่งออก แต่หากไม่เป็นไปตามที่คาดการณ์คงจะมาจากการขัดขาตัวเอง ทั้งนี้ ภาคอสังหาริมทรัพย์ก็ยังคงเจริญเติบโต ซึ่งมองว่าคอนโดมิเนียมจะเติบโตมากกว่าบ้านเดี่ยวและทาวน์เฮ้าส์ เนื่องจากคอนโดยังเป็นที่ต้องการของกลุ่มคนรุ่นใหญ่"นายรัตน์ กล่าว