"ปัจจุบันได้มีการเซ็น MOU กับพาร์ทเนอร์ ที่เป็นบริษัทปูนขนาดใหญ่ในประเทศไทย โดยจะเป็นการเข้ามาร่วมทุนเพื่อที่จะลงทุนในโครงการ แขวงคำม่วนที่ปัจจุบันอยู่ระหว่างการก่อสร้างโรงงานผลิตปูนเม็ด ซึ่งคาดว่าจะแล้วเสร็จในปลายปี 58 ซึ่งการร่วมทุนในครั้งนี้จะได้ข้อสรุปภายในเดือนนี้"นายจิตตะกอน กล่าว
ทั้งนี้ เงินลงทุนในส่วนของบริษัทจะมาจากกระแสเงินสดของบริษัทประมาณ 50% และอีก 50% จะเป็นการกู้เงินจากสถาบันการเงินทั้งในประเทศและต่างประเทศ
อนึ่ง กลุ่มสุกสมบูน เป็นกลุ่มนักธุรกิจติดอันดับ 1 ใน10 ของประเทศลาว ดำเนินธุรกิจมายาวนานกว่า 20 ปี สำหรับธุรกิจปูนซีเมนต์นั้นเริ่มต้นจากการเป็นตัวแทนจำหน่าย จากนั้นเล็งเห็นโอกาสทางธุรกิจจึงได้ก่อสร้างโรงงาน BMC Cement Factory ขึ้นที่นครหลวงเวียงจันทร์ โดยเป็นโรงงานบดปูนซีเมนต์ กำลังการผลิต 1,500 ตันต่อวัน และจำหน่ายภายใต้ตราสินค้า "ช้างคำ"
สำหรับโรงงานผลิตปูนเม็ดแห่งแรกดังกล่าวคาดว่าจะสามารถสร้างรายได้ราว 100 ล้านเหรียญสหรัฐ/ปี จากกำลังการผลิต 5 พันตัน/วัน เบื้องต้นแหล่งวัตถุดิบที่บริษัทได้รับสัมปทานจากรัฐบาลในพื้นที่ใกล้เคียงจะรองรับการผลิตได้ประมาณ 50-60 ปี ซึ่งผลผลิตดังกล่าวสามารถทดแทนการนำเข้าปูนเม็ดจากไทยเพื่อใช้ผลิตปูนซิเมนต์ทั้งโรงงานที่เวียงจันทน์และนครพนม จึงจะช่วยลดต้นทุนให้กับบริษัทได้มาก
ส่วนสิ่งที่คาดว่าจะได้รับจากการร่วมทุนคือ การบริหารจัดการที่จะสามารถอยู่ร่วมกับชุมชนและสิ่งแวดล้อมได้ ในขณะเดียวกันยังมีเป้าหมายหลักคือการที่จะขยายตลาดการจำหน่ายสินค้าของบริษัทฯเข้าไปยังประเทศไทย เนื่องจากบริษัทเข้าไปสำรวจความต้องการใช้ปูนในภาคตะวันออกเฉียงเหนือทั้ง 12 จังหวัดของไทย พบว่ามีความต้องการการใช้ปูนสูงถึง 4-5 ล้านตัน/ปี
นายจิตตะกอน กล่าวว่า หลังจากลงทุนในโรงงานปูนเม็ดแห่งแรกแล้ว บริษัทมีแผนจะระดมทุนผ่านการเสนอขายหุ้นเพิ่มทุนของธุรกิจปูนในเครือสุกสมบูนต่อประชาชนทั่วไปครั้งแรก(IPO)และนำเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ราวภายใน 2-3 ปีข้างหน้า เพื่อระดมทุนไปใช้สร้างโรงงานปูนเม็ดแห่งที่ 2 บริเวณใกล้เคียงกับโรงงานแห่งแรกในแขวงคำม่วน กำลังการผลิตสูงถึง 1 หมื่นตัน/วัน เนื่องจากเห็นว่าความความต้องการปูนในประเทศลาวมีมากถึง 3.5 ล้านตัน/ปี แต่ปัจจุบันกำลังการผลิตทั้งหมดของประเทศมีอยู่เพียง 1.7 ล้านตัน/ปี
ขณะที่ปูนขาว ซึ่งเป็นวัตถุดิบในประเทศไทยเริ่มหมดไป ส่งผลให้การผลิตปูนในไทยไม่เพียงพอต่อความต้องการ ยิ่งหากหลังจากการเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน(AEC)ในปี 58 จะทำให้การส่งปูนไปยังประเทศไทยนั้นไม่มีเรื่องของกำแพงภาษี รวมถึงโรงงานของบริษัทอยู่ในจุดยุทธศาสตร์ที่ใกล้กับสะพานมิตรภาพไทย-ลาว และกลุ่มสุกสมบูนยังมีธุรกิจขนส่งและโลจิสติกส์ที่มีรถบรรทุกพร้อมให้บริการมากกว่า 200 คันมารองรับ จึงทำให้ต้นทุนการขนส่งต่ำกว่าการขนส่งปูน จากสระบุรีไปยังภาคตะวันออกเฉียงเหนือที่มีระยะทางไกลกว่าการขนส่งจากโรงงานในแขวงคำม่วนที่มีระยะทางเพียงไม่ถึง 100 กิโลเมตร เชื่อว่าจะทำให้บริษัทมีโอกาสขยายตลาดไปยังแถบชายแดนไทย-ลาวในแถบภาคตะวันออกเฉียงเหนือได้เกือบทั้งหมด