นายจันทอน สิดทิชัย ผู้อำนวยการ Petro Trade เปิดเผยว่า บล. เอพีเอ็มลาว(APMLAO)ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงินเพื่อเตรียมนำบริษัทเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ลาว คาดว่าจะนำหุ้นของ Petro Trade เข้าซื้อขายในตลาดหุ้นราวไตรมาส 2/57 หลังจากยื่นแบบแสดงรายการข้อมูลเสนอขายหุ้นเพิ่มทุนให้กับประชาชนทั่วไป(IPO)ภายในไตรมาส 1/57 เพื่อระดมทุนไปใช้ในการขยายสถานีบริการน้ำมันและคลังน้ำมันในประเทศ สปป.ลาว
ทั้งนี้ Petro Trade เป็นผู้ดำเนินธุรกิจจัดจำหน่ายน้ำมันเชื้อเพลิงผ่านสถานีบริการน้ำมันภายใต้เครื่องหมายการค้า "PLUS" ซึ่งภายในสภานีบริการน้ำมันยังมีการให้เช่าพื้นที่สำหรับร้านค้า อาทิ ร้านค้าสะดวกซื้อภายใต้ตราสินค้า “Plus Mart" ธุรกิจคาร์แคร์ภายใต้ชื่อ “Moly Care" ให้บริการล้างรถ ขัดเคลือบสีและดูแลรักษาสีรถยนต์ และร้านกาแฟ
บริษัทเป็นเครือข่ายในกลุ่มบริษัท พงสะหวัน ซึ่งเป็นกลุ่มธุรกิจรายหญ่อันดับ 1 ใน 10 ของ สปป.ลาว ได้แก่ ธนาคารพงสะหวัน และสายการบินลาว เซ็นทรัล แอร์ไลน์ ทำให้มีจุดแข็งด้านการจัดหาแหล่งเงินทุน เพื่อใช้ในการขยายสถานีบริการน้ำมัน
นายจันทอน กล่าวว่า การระดมทุนผ่านเสนอขาย IPO ครั้งนี้ราว 15-20% ของทุนจดทะเบียนที่มีอยู่ 45 ล้านเหรียญสหรัฐ เพื่อใช้ในการลงทุนรองรับการเติบโตของตลาดน้ำมันเชื้อเพลิงในอีก 2-3 ปีข้างหน้า โดยจะตั้งคลังน้ำมันเพิ่มอีก 2 แห่ง ได้แก่ คลังน้ำมันปากเซ 700,000 ลิตร และคลังน้ำมันเครื่องบิน 1.3-1.5 ล้านลิตร เพื่อรองรับการเติบโตของปริมาณการใช้น้ำมันของทุกสายการบินในสปป.ลาว คาดว่าจะแล้วเสร็จภายในต้นปี 57
“เพื่อรองรับการเติบโตของปริมาณการใช้น้ำมันในอีก 2-3 ปีข้างหน้า บริษัทได้ก่อสร้างคลังเก็บน้ำมันเชื้อเพลิงเพิ่มอีก 2 แห่งคือ คลังน้ำมันปากเซ สามารถจัดเก็บน้ำมันได้ถึง 700,000 ลิตร และคลังน้ำมันเครื่องบินที่สามารถจัดเก็บน้ำมันได้ถึง 1.3-1.5 ล้านลิตร จากปัจจุบันที่มีอยู่ 4 แห่งและสามารถจัดเก็บน้ำมันเชื้อเพลิงได้ถึง 2,770,000 ลิตร นอกจากนี้จุดแข็งอีกอย่างหนึ่งของคือ บริษัทมีรถขนส่งบริการน้ำมันของตัวเองกว่า 100 คันในเส้นทางการขนส่งภายในละภายนอกประเทศ ทำให้บริษัทไม่เคยมีปัญหาด้านการขนส่งน้ำมันอย่างแน่นอน"นายจันทอน กล่าว
พร้อมกันนั้น ยังตั้งเป้าขยายสถานีบริการน้ำมันทั่วประเทศลาวเพิ่มเป็น 250 แห่งภายในปี 61 ทั้งเมืองหลวง หัวเมืองใหญ่ และชนบทของลาว จากขณะนี้มีจำนวน 110 แห่งทั่วประเทศ เชื่อว่าจะเพิ่มยอดขายน้ำมันได้อย่างมากจากการมีส่วนแบ่งการตลาดในประเทศลาวอยู่ที่ 14% ปัจจุบันมีปริมาณยอดขายน้ำมันราว 15-20 ล้านลิตรต่อเดือน รวมทั้งรายได้จากบริการอื่น ๆ เนื่องจากสถานีบริการน้ำมันส่วนหนึ่งจะเป็นสถานีบริการน้ำมันขนาดใหญ่ระดับพรีเมียมที่มีบริการครบวงจร
นายจันทอน กล่าวอีกว่า บริษัทมีเป้าหมายรักษาอัตราการเติบโตของรายได้ปีละประมาณ 20-30% จากปี 55 ที่คาดว่าจะมีรายได้ราว 6 พันล้านบาท ขณะที่มีอัตรากำไรสุทธิอยู่ที่ประมาณ 4% ภายใต้เป้าหมายการขยายสถานีบริการน้ำมันเพิ่มขึ้นราว 20-30 แห่งต่อปี เนื่องจากความต้องการน้ำมันเชื้อเพลิงภายในประเทศสูง จากการเป็นประเทศที่อยู่ระหว่างการพัฒนา ทำให้ภาคอุตสาหกรรมเติบโตอย่างมีนัยสำคัญ
ประกอบกับ การเปิด AEC ในปี 58 เป็นที่คาดหมายว่าจะทำให้การคมนาคมขนส่งภายในประเทศลาวเกิดการขยายตัวมากขึ้น ทั้งเพื่อการเดินทางท่องเที่ยวในภูมิภาคอินโดจีน เชื่อมต่อไปถึงจีน รวมทั้งการขนส่งสินค้าระหว่างกันที่จะมีมากขึ้น ซึ่งขณะนี้มีผู้ค้าน้ำมันหลายรายที่สนใจเข้ามารุกตลาดในประเทศลาวเพิ่มขึ้น บริษัทจึงมีความจำเป็นต้องเตรียมความพร้อมเพื่อรับมือการแข่งขันที่กำลังจะเกิดขึ้นในอนาคต
นอกจากนั้น บริษัทยังสนใจที่จะศึกษาการลงทุนจัดตั้งโรงกลั่น ซึ่งอาจจะตั้งในประเทศลาว หรือประเทศใกล้เคียง ทั้งการลงทุนด้วยตัวเองและการร่วมมือกับพันธมิตร เนื่องจากปัจจุบันบริษัทมีเพียงธุรกิจเทรดดิ้งด้วยการสั่งซื้อน้ำมันเชิ้อเพลิงและผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียมอื่นๆ จากผู้ค้ารายใหญ่ของไทย ทั้งเชฟรอน เอสโซ่ บมจ.ไออาร์พีซี และ บมจ.บางจากปิโตรเลียม(BCP)
นายสมภพ ศักดิ์พันธ์พนม ผู้อำนวยการใหญ่ บล.เอพีเอ็มลาว ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงินของ Petro Trade กล่าวว่า นอกจากผู้บริหารมีประสบการณ์ความเชี่ยวชาญในอุตสาหกรรมแล้ว บริษัทมีแผนการดำเนินธุรกิจที่ชัดเจนและมีเป้าหมายที่จะก้าวขึ้นสู่การเป็นผู้นำในธุรกิจจำหน่ายน้ำมันเชื้อเพลิงในสปป.ลาว จุดแข็งอีกอย่างหนึ่งคือบริษัทเป็นเครือข่ายหนึ่งของกลุ่มบริษัทพงสะหวันที่มีธุรกิจมากมาย ทำให้เชื่อว่าเมื่อ Petro Trade เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์จะได้รับการตอบรับอย่างท่วมท้น