"จรัมพร"คาดวอลุ่มเทรดปี 57 สูงกว่าปีนี้, สภาพัฒน์ลด GDP ไม่กระทบประมาณการกำไรบจ.

ข่าวหุ้น-การเงิน Monday November 18, 2013 16:54 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นายจรัมพร โชติกเสถียร กรรมการและผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) คาดว่าปี 57 มูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันของตลาดหุ้นไทยจะสูงกว่าปีนี้ที่อยู่ในระดับ 5 หมื่นล้านบาท เนื่องจากมองว่าตลาดหุ้นจะได้รับผลดีจากเศรษฐกิจโลกที่ปรับตัวดีขึ้น โดยเฉพาะสหรัฐ ถึงแม้ขณะนี้เม็ดเงินลงทุนจากต่างประเทศจะไหลออกไปจากตลาดหุ้นไทยมากแล้ว แต่เชื่อว่าเมื่อมีข่าวดีที่เกิดกับตลาดหุ้นทั่วโลก เม็ดเงินเหล่านี้ก็จะกลับเข้ามาลงทุน

ส่วนการที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ(สภาพัฒน์) ปรับลดคาดการณ์อัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจ(GDP)ของไทยในปี 56 เหลือ 3% จากเดิมที่เคยคาดไว้ในระดับ 3.8-4.3% นั้น นายจรัมพร กล่าวว่า คงไม่กระทบต่อแผนงานของตลาดหลักทรัพย์ในปี 57 เนื่องจากตลาดได้คาดการณ์ไว้อยู่แล้ว รวมทั้งเชื่อว่าจะไม่กระทบต่อประมาณการผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียน เพราะแต่ละบริษัทคาดการณ์ภายใต้สมมติฐานภาพรวมเศรษฐกิจชะลอลงอยู่แล้ว

"แม้เศรษฐกิจชะลอ แต่ไม่มีการปรับแผน เพราะตลาดได้มีการประเมินไว้แล้ว วอลุ่มก็ไม่ปรับเพราะเมื่อเศรษฐกิจสหรัฐฯ ดี ท้ายที่สุดแล้วจะส่งผลต่อตลาดหุ้นทั่วโลกดีขึ้น" นายจรัมพร กล่าว

อย่างไรก็ตาม นายจรัมพร ยอมรับว่า ปัจจัยการเมืองในขณะนี้ยังเป็นประเด็นหนึ่งที่จะกดดันตลาดหุ้นไทยในช่วงปลายปีนี้ ซึ่งยังต้องจับตาดูว่าสถานการณ์การชุมนุมทางการเมืองจะยืดเยื้อไปเพียงใด ประกอบกับ ปกติช่วงปลายปีตลาดหุ้นจะค่อนข้างเงียบ เพราะเข้าใกล้เทศกาลปีใหม่ แต่การเสนอขายหุ้น IPO ของบริษัทจดทะเบียนใหม่ในช่วงที่เหลือของปีนี้ยังเดินหน้าไปตามแผนงานราว 10 บริษัท

"ปีนี้ยังเป็นปีที่ดีที่สุดในการระดมทุนในของตลาดทุน ส่วนช่วงที่เหลือจากนี้ถึงสิ้นปีเป็นปกติที่วอลุ่มตลาดจะต่ำเพราะเป็นช่วง low season"นายจรัมพร กล่าว

ด้านนายสถิตย์ ลิ่มพงศ์พันธุ์ ประธานกรรมการ ตลท. กล่าวถึงการที่สภาพัฒน์ปรับลด GDP เหลือ 3% ก็เป็นระดับที่ได้คาดการณ์ไว้แล้วเช่นกัน แต่คาดว่าในปี 57 จะขยายตัวได้ในระดับ 5% บวกลบภายใต้การลงทุนโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ของภาครัฐ ซึ่งจะทำให้การคมนาคมสะดวกขึ้น มีการเชื่อมต่อกับภูมิภาคเอเชียเป็นไปด้วยความรวดเร็ว ขณะที่ไทยเป็นศูนย์กลางโลจิสติกส์ และแรงกระเพื่อมจากการลงทุนภาครัฐจะส่งผลดีต่อการลงทุนภาคเอกชน

"ที่หลายสำนักออกมาประเมินว่าเศรษฐกิจต่ำกว่า 4% เป็นเรื่องที่คาดหมายอยู่แล้ว ไม่ได้เป็นการปรับลด เพราะการส่งออกที่ขยายตัวน้อยในปีนี้ เนื่องจากการส่งออกหลักของไทยอยู่ที่ G3 ประกอบด้วย สหรัฐฯ ญี่ปุ่น ยุโรป" นายสถิตย์ กล่าว

นอกจากนั้น ในปีหน้าเชื่อว่าการส่งออกจะขยายตัวดีขึ้น เพราะตัวเลขการจ้างงานสหรัฐฯดีขึ้น กำลังการผลิตเริ่มดีขึ้น เศรษฐกิจญี่ปุ่นก็ดีขึ้น ส่วนยุโรปแม้ฟื้นไม่มากแต่ก็เริ่มปรับฐาน ขณะที่เศรษฐกิจไทยยังต้องพึ่งการลงทุนภาครัฐ ถ้าไม่มีก็จะกลายเป็นความเสี่ยง ซึ่งจะต้องหาทางให้มีการส่งออกมากขึ้น โดยเฉพาะการส่งออกไปยังอาเซียน จีน อินเดีย และตะวันออกกลาง ส่วนการบริโภคในประเทศก็จะต้องส่งเสริมให้ผู้บริโภคเข้าถึงแหล่งเงินทุนมากขึ้น

ขณะที่นตลาดหุ้นในปัจจุบันราคาปรับลงมามากแล้ว บางบริษัทมาอยู่ในจุดที่ราคาจูงใจต่อการเข้าไปลงทุน เพราะ P/E ตลาดหุ้นไทยต่ำกว่าตลาดหุ้นประเทศเพื่อนบ้าน แม้ขณะนี้นักลงทุนหลายรายอยู่ในภาวะวิตกและลังเลที่จะเข้าไปลงทุน แต่อีกมุมหนึ่งก็มีนักลงทุนที่เห็นมูลค่าและราคาที่เหมาะสมก็จะเข้ามาลงทุน จึงแนะนำให้มองช่วงนี้เป็นโอกาสที่เหมาะสมมากในการเข้าไปลงทุนเพื่อจะได้รับผลตอบแทนที่ดีในระยะยาว

"การเมืองไม่มีใครรู้ และไม่รู้ว่าตลาดหุ้นจะตกไปต่ำสุดที่เท่าไหร่ แต่ให้นักลงทุนมองหากราคาต่ำกว่าพื้นฐาน ให้คิดว่าเป็นจังหวะที่ดีที่จะเข้าลงทุน โดยเฉพาะบริษัทจดทะเบียนดีๆ" นายสถิตย์ กล่าว

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ