ภาวะตลาดตราสารหนี้ไทยประจำสัปดาห์: มีมูลค่าการซื้อขายรวม 353,747 ลบ.

ข่าวหุ้น-การเงิน Monday November 18, 2013 17:42 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

สมาคมตลาดตราสารหนี้ไทย (ThaiBMA) สรุปภาวะตลาดตราสารหนี้ประจำสัปดาห์ (11 - 15 พฤศจิกายน 2556) ปริมาณการซื้อขายตราสารหนี้มีมูลค่ารวม 353,747 ล้านบาท หรือเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณวันละ 70,749 ล้านบาท ปรับตัวลดลงจากสัปดาห์ก่อนหน้าประมาณ 17% ทั้งนี้เมื่อแยกตามประเภทของตราสารแล้วจะพบว่ากว่า 71% ของมูลค่าการซื้อขายทั้งหมด หรือประมาณ 250,500 ล้านบาท เป็นการซื้อขายในตราสารหนี้ที่ออกโดยธนาคารแห่งประเทศไทย (State Agency Bond) ซึ่งส่วนใหญ่แล้วเป็นตราสารที่มีอายุคงเหลือค่อนข้างน้อย (ไม่เกิน 6 เดือน) ขณะที่พันธบัตรรัฐบาลที่ออกโดยกระทรวงการคลัง (Government Bond) มีมูลค่าการซื้อขายเท่ากับ 54,458 ล้านบาท และหุ้นกู้ที่ออกโดยภาคเอกชน (Corporate Bond) มีมูลค่าการซื้อขายเท่ากับ 5,005 ล้านบาท หรือคิดเป็น 15% และ 1% ของมูลค่าการซื้อขายทั้งหมดที่เกิดขึ้น ตามลำดับ

สำหรับพันธบัตรรัฐบาล รุ่นที่มีปริมาณการซื้อขายสูงที่สุด 3 อันดับแรกคือรุ่น LB176A (อายุ 3.6 ปี) LB196A (อายุ 5.6 ปี) และ LB21DA (อายุ 8.1 ปี) โดยมีมูลค่าการซื้อขายในแต่ละรุ่นเท่ากับ 12,801 ล้านบาท 10,099 ล้านบาท และ 8,886 ล้านบาท ตามลำดับ ส่วนพันธบัตรที่ออกโดยธนาคารแห่งประเทศไทย รุ่นที่มีปริมาณซื้อขายสูงสุด 3 อันดับแรก คือรุ่น CB13D03A (อายุ 14 วัน) CB14213B (อายุ 91 วัน) และ CB14109A (อายุ 55 วัน) มูลค่าการซื้อขายเท่ากับ 24,643 ล้านบาท 20,331 ล้านบาท และ 18,885 ล้านบาท ตามลำดับ

ขณะที่หุ้นกู้ภาคเอกชน ที่มีปริมาณการซื้อขายสูงที่สุด 3 อันดับแรก ได้แก่ หุ้นกู้ของบริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน) รุ่น CPALL18OB (A+) มูลค่าการซื้อขาย 902 ล้านบาท หุ้นกู้ของบริษัท ภัทรลิสซิ่ง จำกัด (มหาชน) รุ่น PL147A (A-) มูลค่าการซื้อขาย 600 ล้านบาท และหุ้นกู้ของบริษัท น้ำตาลมิตรผล จำกัด รุ่น MPSC16OB (A+) มูลค่าการซื้อขาย 313 ล้านบาท

เส้นอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาล (Yield Curve) ปรับตัวเพิ่มขึ้นตลอดทั้งเส้น ในช่วงประมาณ +1 ถึง +8 Basis Point (100 Basis Point มีค่าเท่ากับ 1%) ตามทิศทางการไหลออกของกระแสเงินทุนต่างชาติ ภายหลังตัวเลขเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ที่ปรับตัวดีขึ้น ถึงแม้ว่าอัตราการว่างงานประจำเดือน ต.ค.จะเพิ่มขึ้นจาก 7.2% เป็น 7.3% แต่ตัวเลขการจ้างงานนอกภาคการเกษตร กลับปรับตัวเพิ่มขึ้นสู่ระดับ 204,000 ตำแหน่ง สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดไว้ที่ 120,000 ตำแหน่ง ส่งผลให้เกิดการคาดการณ์ว่าธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) จะทำการปรับลดขนาดการซื้อพันธบัตรตามมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของสหรัฐฯ (QE) เร็วขึ้นกว่าเดิม ทำให้มีแรงขายและเกิดการไหลออกของเงินทุนต่างชาติจากตลาดตราสารหนี้ไทย ซึ่งมีส่วนทำให้อัตราผลตอบแทนของพันธบัตรปรับตัวเพิ่มสูงขึ้น (ราคาพันธบัตรลดลง) อย่างไรก็ตาม หลังจากนางเจเน็ต เยลเลน ว่าที่ประธาน Fed ได้กล่าวต่อที่ประชุมคณะกรรมาธิการธนาคารประจำวุฒิสภาสหรัฐว่า Fed จะยังไม่เร่งรีบที่จะถอนมาตรการ QE ในเร็วๆนี้ เนื่องจากตลาดแรงงานของสหรัฐฯ ยังไม่มีเสถียรภาพมากพอ และยังจำเป็นต้องดำเนินนโยบายการเงินแบบผ่อนคลายต่อไป จนกว่าจะมั่นใจว่าเศรษฐกิจสามารถฟื้นตัวขึ้นอย่างมั่นคง ส่งผลให้มีแรงซื้อจากนักลงทุนต่างชาติกลับเข้ามาในตลาดตราสารหนี้ช่วงท้ายสัปดาห์

ในสัปดาห์นี้นักลงทุนต่างชาติมียอด ขายสุทธิ ในตราสารหนี้ทุกประเภท (ทั้งระยะสั้น และระยะยาว) รวมกัน 15,343 ล้านบาท โดยแบ่งเป็นการขายสุทธิในตราสารหนี้ระยะยาว 3,849 ล้านบาท และ ขายสุทธิในตราสารหนี้ระยะสั้น (อายุคงเหลือน้อยกว่า 1 ปี) 11,494 ล้านบาท ทางด้านนักลงทุนรายย่อยมียอดขายสุทธิ 11 ล้านบาท


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ