แนวทางการจัดสรรเงินลงทุนควรแบ่งเป็น 3 ส่วน คือ ส่วนแรก เงินออมสำหรับความมั่นคงของชีวิต (Life Safety) เพื่อเป็นสภาพคล่องในการใช้จ่ายเมื่อจำเป็น ประมาณ 15-20% ของเงินทั้งหมด ส่วนที่สอง เงินเพื่อการลงทุนระยะยาว (Long-Term Investment) ที่ให้ผลตอบแทนมากกว่าอัตราเงินเฟ้อ มีสัดส่วนประมาณ 60-70% และส่วนที่สาม เงินลงทุนที่ให้ผลตอบแทนสูง (Aspiration) อาจจะมีความเสี่ยงที่เหมาะสมกับบุคคล สัดส่วนประมาณ 15-20% นอกจากนั้นการลงทุนควรมีการกระจายความเสี่ยง โดยทะยอยลงทุนในหุ้นหลายภูมิภาค กระจายการลงทุนในหลายอุตสาหกรรมและบริษัท
จากแนวโน้มเศรษฐกิจของประเทศหลักของโลกเริ่มปรับตัวในทิศทางที่ดีขึ้น ทำให้สินทรัพย์ที่น่าจะสร้างผลตอบแทนที่ดีภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ คือ หุ้น โดยเฉพาะหุ้นสหรัฐอเมริกา และจีน จากการฟื้นตัวและการปฏิรูปโครงสร้างทางเศรษฐกิจ และเงินทุนจะเริ่มเคลื่อนย้ายกลับ ทำให้ตลาดหุ้นสหรัฐฯ มีทิศทางที่จะปรับตัวดีขึ้นต่อเนื่องจากปีนี้ รองลงมาได้แก่ การลงทุนในตลาดหุ้นไทย และยุโรป
นอกจากนี้ การทยอยสะสมกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์และกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานที่มีทรัพย์สินคุณภาพดีและอัตราผลตอบแทนเงินปันผลสูง จะเป็นการกระจายความเสี่ยงจากการเปลี่ยนแปลงราคาหุ้นได้ดี ส่วนการลงทุนที่น่าจะให้ผลตอบแทนต่ำ ได้แก่ การลงทุนในตลาดเงิน ตราสารหนี้ และสินค้าโภคภัณฑ์ เช่น ทองคำ น้ำมัน เนื่องจากราคาเริ่มปรับสู่ระดับที่ควรจะเป็น ทำให้ผลตอบแทนจะไม่สูงเหมือนช่วงหลายปีที่ผ่านมา
ทั้งนี้ บล.กสิกรไทย ได้แนะนำหุ้นไทยที่น่าสนใจลงทุนในปี 57 ได้แก่ ADVANC,BJC, KTB, MC, PTTGC, SCC, SPCG และ TUF อย่างไรก็ตาม ความผันผวนของตลาดการเงินจากการเคลื่อนย้ายเงินลงทุนระยะสั้นในช่วงการเปลี่ยนผ่านของมาตรการผ่อนคลายทางการเงิน(QE)อาจส่งผลต่อมูลค่าเงินลงทุน นักลงทุนจึงควรให้ความสำคัญกับการจัดสรรเงินลงทุนในสินทรัพย์ประเภทต่างๆ(Asset Allocation) ให้เหมาะสมกับระดับการยอมรับความเสี่ยงของตนเองด้วย