"ปี 57 คาดโต 17% ส่วนใหญ่เป็นออร์เดอร์ลูกค้าใหม่ เช่น แคนนอนที่ขยายโรงงานแห่งใหม่ และลูกค้าเก่าแต่ขยายโรงงานใหม่เพิ่มในไทย"นายโสฬส กล่าว
ทั้งนี้ บริษัทประเมินว่ารายได้ในงวดปี 56 จะอยู่ที่ประมาณ 530 ล้านบาท ลดลงราว 7.2% จากงวดปีก่อนที่มีรายได้ 574 ล้านบาท เนื่องจากครึ่งแรกยอดคำสั่งซื้อของลูกค้าลดน้อยลงรับผลกระทบเศรษฐกิจโลก ประกอบกับลูกค้ามีสต็อกสินค้าไว้มากแล้วหลังจากน้ำท่วมในช่วงปลายปี 54
"กำไรปี 56 ต่ำกว่าปีก่อน ตามรายได้ที่ลดลง โดยอัตรากำไรขั้นต้น 9 เดือนอยู่ที่ 21% เทียบงวดเดียวกันปีก่อนที่ 28% เนื่องจากครึ่งแรกออร์เดอร์น้อย แต่ cost ค่าเสื่อมราคาดึงมาร์จินลดลง ซึ่งถ้าออร์เดอร์น้อยกว่าจุดคุ้มทุน ก็จะฉุดกำไร"
อนึ่ง งวดปี 55 บริษัทมีกำไรราว 46.7 ล้านบาท
อย่างไรก็ตาม ครึ่งหลังของงวดปี 56 คาดว่ายอดขายจะสูงกว่าช่วงครึ่งแรก และผลประกอบการจะพลิกกลับมาเป็นกำไร หลังจากงวดไตรมาส 2/56 ขาดทุนราว 2.2 ล้านบาท ส่วนหนึ่งเพราะสต็อกสินค้าของลูกค้าหมดลงแล้ว และบริษัทได้ลูกค้าใหม่ โดยเฉพาะกลุ่มชิ้นส่วนยานยนต์ เช่น ผลิตให้เดนโซ่เป็นกระเป๋าที่ชาร์ตไฟในตัว และระบบแอร์รถยนต์ ซึ่งมียอดคำสั่งซื้อในครึ่งหลังราว 1-2 ล้านบาท/เดือน และแนวโน้มจะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
นอกจากนั้น ในงวดปี 57 บริษัทจะมีกำลังผลิตใหม่เพิ่มเข้ามา หลังจากโรงงานแห่งใหม่ที่ อ.กบินทร์บุรี จ.ปราจีนบุรี ก่อสร้างแล้วเสร็จราวเดือน ม.ค.57 ซึ่งจะเริ่มผลิตและรับรู้รายได้ในช่วงเดือน มี.ค.-เม.ย.57 โดยงบลงทุนรวม 185 ล้านบาท แบ่งเป็นค่าก่อสร้าง 143 ล้านบาท และซื้อเครื่องจักร 40 ล้านบาท เงินลงทุนจะมาจากการแปลงสภาพวอร์แรนท์เกือบ 100 ล้านบาท ที่เหลือเป็นเงินกู้ยืมจากสถาบันการเงิน
นายโสฬส กล่าวว่า เบื้องต้นโรงงานแห่งใหม่ดังกลาวจะทำให้กำลังการผลิตชิ้นส่วนพลาสติกสำเร็จรูปเพิ่มขึ้นอีก 7-8% จากกำลังการผลิตปัจจุบันอยู่ที่ 1,800 ตัน/ปี(นับจากยอดใช้วัตถุดิบ)จากโรงงานเดิมที่นิคมอุตสาหกรรมปิ่นทอง จ.ชลบุรี ซึ่งกำลังการผลิตจากโรงงานใหม่ใหม่จะรองรับลูกค้าใหม่ 3-4 ราย
โรงงานแห่งใหม่ก่อสร้างในพื้นที่ขนาดใหญ่มาก เพื่อรองรับการเติบโตของบริษัทในอีก 4-5 ปีข้างหน้า โดยกำลังการผลิตเมื่อถึงปี 62 จะเพิ่มอีกเท่าตัว เป็น 3,600 ตัน/ปี ซึ่งจะทำให้ยอดขายของบริษัทเพิ่มอีกเท่าตัว แต่จะเป็นการทยอยเพิ่มเครื่องจักรตามออร์เดอร์ลูกค้า
สำหรับสินค้าหลักเป็นการผลิตชิ้นส่วนเครื่องพิมพ์และเครื่องปริ๊นเตอร์ในสัดส่วนราว 80% แต่จากนี้บริษัทไปจะหันไปเพิ่มการผลิตชิ้นส่วนยานยนต์และชิ้นส่วนเครื่องใช้ไฟฟ้ามากขึ้น โดยตั้งเป้าว่าในปี 57 จะผลิตชิ้นส่วนยานยนต์เพิ่มเป็น 12% จากปัจจุบัน 6% เพื่อกระจายความเสี่ยง เนื่องจากมองว่าประเทศไทยเป็นฐานการผลิตรถยนต์ที่แข็งแกร่ง ซึ่งบริษัทจะเน้นรับงานที่มีอัตรากำไรขั้นต้นไม่ต่ำกว่า 25%
ปัจจุบัน รายได้ของบริษัทมาจากการส่งออกประมาณ 18% ตลาดส่งออกหลัก คือ อาเซียน ส่วนญี่ปุ่นและสหรัฐยังส่งออกไปน้อยมาก ทำให้การออกไปลงทุนเปิดโรงงานในต่างประเทศยังไม่มีความจำเป็น ดังนั้น เราจึงขยายฐานการผลิตในไทยเพื่อส่งออกไปภูมิภาคเหมาะสมกว่า