บริษัทมองแนวโน้มไตรมาส 4/56 ไม่ดีมากนัก หลังจากได้รับผลกระทบจากการเมือง ส่งผลให้ Sentiment การจับจ่ายใช้สอย ปรับตัวลดลง ส่งผลกระทบต่อร้าน B2S มากกว่าออฟฟิศเมท เนื่องจากออฟฟิศเมทยังเป็นสินค้าที่ต้องใช้ในการทำงาน แต่อย่างไรก็ตาม หากความวุ่นวายทางการเมืองจบก่อนเดือน ธ.ค.ก็จะส่งผลให้ Sentiment การจับจ่ายใช้สอยกลับมา เนื่องจากช่วงปลายปีเป็นช่วง ไฮซีซั่น
อย่างไรก็ตามคาดว่าในปี 57 บริษัทฯจะกลับมาสู่ภาวะปกติ ที่คาดว่ารายได้จะมีการเติบโตราว 15-16% หลังจากที่บริษัทฯได้มีการขยายคลังสินค้าใหม่ในช่วงเดือน พ.ย.56 และปัญหาทางด้านการเมืองจบลง ก็จะส่งผลให้ Sentiment การซื้อสินค้ากลับมาอีกครั้ง
ขณะเดียวกันตั้งแต่ช่วงปลายปี 56 บริษัทจะทำการตลาดเพื่อเน้นธุรกิจภาค e-Commerce ที่บริษัทฯได้มีการเตรียมการพัฒนาบริการทางด้านออนไลน์ในส่วนของออฟฟิศเมทให้โดดเด่นมากยิ่งขึ้น อาทิ การปรับปรุงระบบการสั่งซื้อออนไลน์ทางเว็บไซต์ OfficeMate.co.th ซึ่งจะมีการปรับโฉมเว็บไซต์ใหม่เพื่อให้ลูกค้าสามารถเลือกสินค้าและบริการได้ง่ายขึ้นรวมถึงเพิ่ม Service อื่นๆ ในเว็บไซต์ การปรับปรุงระบบ Call center เพื่อรองรับการสั่งซื้อที่มีมากยิ่งขึ้น
รวมทั้ง พัฒนา E-Procurement ระบบการสั่งซื้อของลูกค้าองค์กรที่ใช้งานง่ายขึ้น ซึ่งปัจจุบัน บริษัทมีลูกค้าองค์กรมากกว่า 1.5 แสนองค์กรทั่วประเทศ การพัฒนา Service อื่นๆ และ Social Media เพื่อให้มีการ Active ของลูกค้าในระบบตลอดเวลา จะทำให้ส่วนแบ่งการตลาดของบริษัทฯกลับมาสู่ภาวะปกติที่ มากกว่า 30% จากปัจจุบันที่ 20-25%
นายวรวุฒิ กล่าวต่อว่า ปีนี้บริษัทจะขยายสาขาได้ตามเป้าหมาย จำนวน 10 สาขา โดยในเดือน ธ.ค.56 จะเปิดอีก 2 สาขา คือสาขาที่ 9 และ 10 ใน หาดใหญ่ และ แหลมฉบัง จะทำให้สิ้นปี 56 มีสาขารวมทั้งหมด 134 สาขา อีกทั้งมีการปรับโฉมร้านใหม่ทั้ง 2 ธุรกิจเพื่อให้ตรงกับกลุ่มเป้าหมายมากยิ่งขึ้น เพราะทั้ง 2 ธุรกิจมีสินค้าและบริการที่โดดเด่นและแตกต่างกัน รวมไปถึงกลุ่มลูกค้าด้วย จึงต้องสร้างคาเล็กเตอร์ที่ชัดเจนให้กับร้าน โดยในปีนี้ บริษัทฯมีการปรับโฉมร้านใหม่ทั้งหมด 5 สาขา
สำหรับปี 57 บริษัทตั้งเป้าขยายสาขาออฟฟิศเมท 10 สาขาและ B2S รวมจำนวน 10-12 สาขา และปรับโฉมร้านเดิม โดยคาดจะใช้เงินลงทุนทั้งหมดราว 530-550 ล้านบาท นอกจากนี้ บริษัทมีแผนที่จะเปิดบริษัทย่อยเกี่ยวกับการทำ E-Book ในช่วงไตรมาส 1 ปี 57 พร้อมทั้งมีแผนที่ดันเข้าตลาดหลักทรัพย์ในอนาคต