สำหรับ พันธบัตรรัฐบาล รุ่นที่นิยมซื้อขายสูงสุดในวันนี้คือ พันธบัตรรุ่น LB196A, LB155A และ LB176A (รุ่นอายุ 5.6 ปี, 1.5 ปี และ 3.6 ปี ตามลำดับ) โดยมีมูลค่าการซื้อขายรวมกัน 14,442 ล้านบาท หรือคิดเป็น 61% ของมูลค่าการซื้อขายพันธบัตรรัฐบาลทั้งหมด ทางด้าน หุ้นกู้เอกชน รุ่นที่นิยมซื้อขายสูงสุด 3 อันดับแรกในวันนี้ คือ
1. หุ้นกู้ของบริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน) (TOP142A) มูลค่า 349.4 ล้านบาท
2. หุ้นกู้ของบริษัท พฤกษา เรียลเอสเตท จำกัด (มหาชน) (PS185A) มูลค่า 58.9 ล้านบาท
3. หุ้นกู้ของบริษัท ไทยยูเนี่ยน โฟรเซ่น โปรดักส์ จำกัด (มหาชน) (TUF147A) มูลค่า 55.7 ล้านบาท
โดยมีมูลค่าการซื้อขายรวมกัน 464.0 ล้านบาท หรือคิดเป็น 68.4% ของมูลค่าการซื้อขายหุ้นกู้เอกชนทั้งหมดในวันนี้
ทางด้านประเภทของนักลงทุน ที่มีมูลค่าการซื้อขายสูงที่สุดเป็น 2 อันดับแรกในวันนี้ คือ
1. กลุ่มบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) มียอดซื้อสุทธิ เท่ากับ 1,531 ล้านบาท
2. กลุ่มสถาบันการเงินที่ไม่มีใบอนุญาตเพื่อค้าตราสารหนี้ มียอดซื้อสุทธิ เท่ากับ 1,306 ล้านบาท
ในขณะที่นักลงทุนต่างชาติ มียอดขายสุทธิ เท่ากับ -87 ล้านบาท
ผลตอบแทนของพันธบัตรรัฐบาลอายุ 3 เดือน ปิดที่ 2.31% ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากเมื่อวาน 0.01% และผลตอบแทนของพันธบัตรรัฐบาลอายุ 5 ปี ปิดที่ 3.51% ปรับตัวลดลงจากเมื่อวาน -0.02%
Yield Curve ปรับตัวลดลงในตราสาร อายุ 3-5 ปี ประมาณ 2 bps. และปรับเพิ่มขึ้นในตราสารอายุ 10 ปีขึ้นไป ประมาณ 1-3 bps. นักลงทุนส่วนใหญ่ติดตามแนวโน้มการเคลื่อนไหวของเงินทุน (Fund Flow) เนื่องจากปัจจัยในประเทศที่มีแนวโน้มออกมาในเชิงลบ ซึ่งประกอบด้วยการขยายตัวทางเศรษฐกิจที่ต่ำกว่าคาด การขาดดุลบัญชีเดินสะพัด และความไม่สงบทางการเมือง รวมทั้งความเสี่ยงภายนอกจากการที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ อาจจะลดขนาดมาตรการ QE สำหรับนักลงทุนต่างชาติ วันนี้มียอดขายสุทธิ (Net Sell) 87 ล้านบาท