ทั้งนี้ ด้านความเสี่ยงทั้งในปีนี้และปี 57 หากสถานการณ์การเมืองยืดเยื้อ บริษัทก็มีการวางแผนป้องกันไว้แล้ว 3 แนวทาง คือ 1.บริษัทมีความเหมาะสมในเรื่องของรายได้ 2.บริษัทมีแผนในการลงทุนแบบยืดหยุ่นในการปรับการใช้จ่าย 3.บริษัทจะไม่กู้เงินเกินตัว และไม่มีการกู้เงินสกุลเงินดอลลาร์ หรือเงินตราต่างประเทศ
"จากสถานการณ์การเมืองในขณะนี้ เรามีความกังวลต่อการลงทุนของภาครัฐ ในเรื่องของการลงทุนด้านท่าเรือและการทำถนนต่างๆ ที่อาจจะมีการล่าช้าออกไป ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อการลงทุนของภาคเอกชน แต่เชื่อว่าอย่างไรก็ตามประเทศต้องมีการลงทุน และต้องพึ่งพาการส่งออก คาดว่าสถานการณ์ดังกล่าวจะจบได้ก่อนวันที่ 5 ธ.ค.นี้ แต่ถ้าหากยืดเยื้อออกไปจนถึงปี 57 มองว่าจะกระทบต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุนได้"นายเผ่าพิทยา กล่าว
ส่วนการเตรียมการจัดตั้งกองทุนอสังหาริมทรัพย์(Property Fund)ยังคงเดินหน้าตามเป้าหมายเดิม โดยมีขนาดกองทุนราว 4,500 ล้านบาท ขณะนี้อยู่ระหว่างการอนุมัติจากสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์(ก.ล.ต.)คาดว่าน่าจะเห็นการลงทุนได้ในช่วงปลายเดือน ธ.ค.นี้หรือต้นปี 57 อย่างไรก็ตาม บริษัทไม่ได้มีความกังวลต่อสถานการณ์ทางการเมือง เพราะนักลงทุนส่วนใหญ่เป็นชาวญี่ปุ่นมีการแยกแยะออกเรื่องการเมืองและการขับเคลื่อนเศรษฐกิจได้
สำหรับในปี 57 บริษัทมีแผนตัดสินใจลงทุนโรงไฟฟ้าขนาด 125 เมกกะวัตต์ 1-2 โรง จากแผนทั้งหมด 7-8 โรง ซึ่งจะมีการใช้เงินลงทุนราว 360 ล้านบาทต่อโรงไฟฟ้า 1 แห่ง พร้อมกันนี้บริษัทจะมีการลดสัดส่วนรายได้จากการขายที่ดินลง จากปัจจุบันมีสัดส่วนอยู่ที่ 60% จะลดลงเหลือ 40-45% โดยมองว่ารายได้จากธุรกิจสาธารณูปโภคในอนาคตจะเป็นรายได้ที่มีเสถียรภาพมากกว่า