โบรกฯแนะ"ซื้อ"หุ้น บมจ.เคซีอี อีเลคโทรนิคส์(KCE)รับประโยชน์จากเงินบาทอ่อนค่าต่อเนื่องช่วงปลายปี ขณะที่ยอดคำสั่งซื้อสินค้ายังคงแข็งแกร่ง บวกกับโรงงานใหม่ที่กำลังจะเริ่มก่อสร้างเพื่อเตรียมพร้อมเดินเครื่องให้ทันภายในไตรมาส 4/57 ทำให้แนวโน้มผลประกอบการจะดีต่อเนื่องในอนาคต รวมถึงมีอัตราการจ่ายปันผลสูงราว 4.3%
โบรกฯ คำแนะนำ ราคาพื้นฐาน(บาท) บล.เมย์แบงก์ กิมเอ็ง ทยอยสะสม 26.30 บล.ฟิลลิป(ประเทศไทย) ซื้อ 26.00 บล. ทิสโก้ ซื้อ 25.40 บล.เคเคเทรด ซื้อ 25.30
นายมนชัย มกรานุรักษ์ หัวหน้าวิจัย บล.ทิสโก้ ระบุว่า KCE ได้ประโยชน์ชัดเจนจากภาพรวมการส่งออกที่เชื่อว่าปี 57 จะดีมาก และค่าเงินบาทอ่อนตัวที่ 31-32 บาทได้ประโยชน์เต็มๆ หลังจากบริษัทฟื้นขึ้นจากน้ำท่วมด้วยเครื่องจักรใหม่ที่ได้เงินมาจากค่าชดเชยประกันภัย ทำให้การผลิตดีขึ้น
และ KCE อยู่ในอุตสาหกรรมรถยนต์ที่ปีหน้ามองภาพการฟื้นตัวชัดเจน ทั้งเศรษฐกิจสหรัฐและยุโรปน่าจะค่อยๆดีขึ้น เพราะอุตสาหกรรมรถยนต์เป็นตัวหนึ่งที่จะได้ประโยชน์จากเศรษฐกิจที่ดี ซึ่งจะทำให้ออร์เดอร์ต่างๆ จะดี และปีหน้ามีแผนสร้างโรงงานใหม่คาดเสร็จปลายปี 57 และปี 58 ก็จะมีกำลังการผลิตเข้ามาอีก โดยภาพรวมจากนี้ไปก็จะดีขึ้นเรื่อยๆ
ปี 56 กำไรไม่รวมประกันคาดว่าจะอยู่ที่ 1,000 ล้านบาท และหากรวมจะกำไรราว 1,600 ล้านบาท ส่วนปี 57 คาดว่าจะเพิ่มเป็น 1,200 ล้านบาท และปี 58 ราว 1,340 ล้านบาท เติบโตปีละกว่า 10% แต่จะไปเติบโก้าวกระโดดอีกทีปี 59 หลังรับรู้กำลังการผลิตโรงงานใหม่ที่เข้ามาเต็มที่ โดยจะทยอยเพิ่มเข้ามาตั้งแต่ปี 58 ราว 50% รวมถึงมีการจ่ายเงินปันผลที่สูงราว 4%
นางสาวนารี อภิเศวตกานต์ นักวิเคราะห์การลงทุนด้านหลักทรัพย์ บล.ฟิลลิป(ประเทศไทย)มองในแง่ผลประกอบการ KCE ไตรมาส 4/56 อาจอ่อนลงเล็กน้อยตามฤดูกาลปกติ แต่ภาพรวมทั้งปีน่าจะเป็นปีที่ดี และแนวโน้มปี 57 มีคำสั่งซื้อทยอยเพิ่มมากขึ้นจากลูกค้าใหม่ที่เลื่อนตอนน้ำท่วม และโรงงานเดิม KCE Tech ที่อยุธยาเดิมเคยขาดทุนก็กลับมากำไรและเดินเครื่องมากขึ้น ทำให้ผลประกอบการในปีหน้าดี
"ปีหน้า operation โดยรวมอาจโตไม่เท่า เพราะรับรู้ผลดีตั้งแต่ปีนี้ แต่มองในแง่ของโรงงาน KCE Tech จะไม่ขาดทุนเหมือนในอดี และถ้าเทียบในตลาดเป็นหุ้นที่เทรด Laggard มาก PE ประมาณ 8 เท่า ไม่สูงมาก"นางสาวนารี กล่าว
ด้าน บล.เมย์แบงก์ กิมเอ็ง ระบุง่า KCE เป็นหุ้นธุรกิจส่งออก เช่น ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิคส์ ได้รับผลกระทบเชิงลบที่จำกัดจากเหตุการณ์ชุมนุมในประเทศ เนื่องจากรายได้หลักกว่า 95% มาจากลูกค้าในต่างประเทศ นอกจากนั้นยังได้อานิสงส์เชิงบวก จากการอ่อนค่าของเงินบาท -2.6% QTD ใน 4Q56 เป็น 32.03 บาท / USD ณ วันที่ 29 พ.ย. จากสิ้นสุด 3Q56 ที่ 31.22 บาท / USD และจะส่งผลให้อัตรากำไรขั้นต้นปรับตัวขึ้นเนื่องจากรายได้เกือบทั้งหมดอยู่ในรูปสกุลเงิน USD ขณะที่ต้นทุนอยู่ในรูปสกุลเงินบาทราว 80-85%
คาดกำไรสุทธิ 4Q56 เติบโตสูง +136% yoy เป็น 248 ล้านบาท และส่งผลให้กำไรสุทธิปี 2556 เพิ่มขึ้น +83.4% yoy เป็น 1,306 ล้านบาท ขณะที่แนวโน้มธุรกิจปีหน้าสดใสจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกและผลักดันให้กำไรปกติปี 2557 เติบโต +12.1% yoy เป็น 1,072 ล้านบาท
ขณะที่ราคาหุ้นมี Valuation ที่ไม่สูงมากนัก โดยซื้อขายระดับ PER 2557 เพียง 9.2 เท่า ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของกลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ที่ 9.5 เท่า และให้ผลตอบแทนจากเงินปันผล 2H56 ที่ 2.7% หรือ หุ้นละ 0.52 บาท และหุ้นละ 0.81 บาท ในปี 2557 เทียบเท่าผลตอบแทนจากเงินปันผล 4.3%