สำหรับ พันธบัตรรัฐบาล รุ่นที่นิยมซื้อขายสูงสุดในวันนี้คือ พันธบัตรรุ่น LB176A, LB183B และ LB15DA (รุ่นอายุ 3.5 ปี, 4.3 ปี และ 2.0 ปี ตามลำดับ) โดยมีมูลค่าการซื้อขายรวมกัน 5,913 ล้านบาท หรือคิดเป็น 59% ของมูลค่าการซื้อขายพันธบัตรรัฐบาลทั้งหมด ทางด้าน หุ้นกู้เอกชน รุ่นที่นิยมซื้อขายสูงสุด 3 อันดับแรกในวันนี้ คือ
1. หุ้นกู้ของบริษัท ทางด่วนกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) (BECL183A) มูลค่า 86.9 ล้านบาท
2. หุ้นกู้มีประกันของบริษัท โตโยต้า ลีสซิ่ง (ประเทศไทย) จำกัด (TLT146A) มูลค่า 51.1 ล้านบาท
3. หุ้นกู้บริษัท ทุนธนชาต จำกัด (มหาชน) (TCAP18NA) มูลค่า 40.3 ล้านบาท
โดยมีมูลค่าการซื้อขายรวมกัน 178.3 ล้านบาท หรือคิดเป็น 56.7% ของมูลค่าการซื้อขายหุ้นกู้เอกชนทั้งหมดในวันนี้
ทางด้านประเภทของนักลงทุน ที่มีมูลค่าการซื้อขายสูงที่สุดเป็น 2 อันดับแรกในวันนี้ คือ
1. กลุ่มบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) มียอดซื้อสุทธิ เท่ากับ 11,104 ล้านบาท
2. กลุ่มบริษัทจดทะเบียนในประเทศ มียอดซื้อสุทธิ เท่ากับ 19,507 ล้านบาท
ในขณะที่นักลงทุนต่างชาติ มียอดซื้อสุทธิ เท่ากับ 2,633 ล้านบาท
ผลตอบแทนของพันธบัตรรัฐบาลอายุ 3 เดือน ปิดที่ 2.33% ไม่มีการเปลี่ยนแปลงจากเมื่อวาน และผลตอบแทนของพันธบัตรรัฐบาลอายุ 5 ปี ปิดที่ 3.52% ไม่มีการเปลี่ยนแปลงจากเมื่อวาน
Yield Curve ปรับเพิ่มขึ้นเล็กน้อย ในตราสารอายุ 5-20 ปี ประมาณ 1-2 bps. ในทิศทางเดียวกับ US Treasury โดยล่าสุดตัวเลขเศรษฐกิจต่างๆ ของสหรัฐฯ โดยเฉพาะจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการการว่างงานลดลงค่อนข้างมาก และ GDP ไตรมาส 3/56 ของสหรัฐฯ ขยายตัวถึง 3.6% ซึ่งดีกว่าที่คาดไว้ และสูงกว่าไตรมาส 2/56 ที่ 2.5% ทำให้นักลงทุนกลับมากังวลว่า Fed จะเริ่มลดขนาด QE ในการประชุมวันที่ 17-18 ธ.ค.นี้ สำหรับนักลงทุนต่างชาติ มียอดซื้อสุทธิ (NET BUY) เท่ากับ 2,633 ล้านบาท