การลงนามร่วมทุนด้านการผลิตในครั้งนี้เพื่อส่งเสริมให้เกิดหลักการกิจการร่วมค้าที่ได้ตกลงกันและขอบเขตการลงทุน พร้อมทั้งช่วยให้ทั้งสองฝ่ายสามารถสรุปรายละเอียดโครงการภายในต้นปี 2557 ก่อนที่จะมีการศึกษารายละเอียดความเป็นไปได้ของ bankable และ Front End Engineering design(FEED) เปอร์ตามิน่าและพีทีทีจีซี ได้บรรลุความเข้าใจร่วมของโครงการ รวมถึงเป้าหมายและวัตถุประสงค์ รูปแบบการลงทุนที่ได้ประโยชน์และมีศักยภาพแข่งขันได้ และทำเลที่เหมาะสม รวมทั้งความแข็งแกร่งของทั้งสองบริษัท ที่จะเพิ่มพูนศักยภาพในการแข่งขันของโครงการร่วมทุน โดยจะนำไปสู่การตัดสินใจในการลงทุนขั้นสุดท้ายที่กำหนดไว้ในปี 2558
นอกจากนี้ การสำรวจตลาดโพลิเมอร์ในอินโดนีเซียซึ่งรวบรวมผลจากการจัดจำหน่ายและกิจกรรมการตลาดของทั้งสองบริษัทโดยมีการกำหนดโครงสร้างเบื้องต้นและมีการประเมินทางเทคนิคด้านการลงทุนดังกล่าว ทำให้เชื่อมั่นว่าทั้งสองฝ่ายมีความปรารถนาจะเป็นส่วนหนึ่งของคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นของคนอินโดนีเซียและสังคมที่พอเพียง
ขณะที่ความต้องการของผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีในประเทศคาดการณ์ว่าจะเพิ่มขึ้น เนื่องจากแนวโน้มทางบวกของอุตสาหกรรมการผลิต มูลค่าตลาดปิโตรเคมีของอินโดนีเซีย คาดการณ์ว่าจะเพิ่มสูงถึง 30,000 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ในปี 2558 รวมทั้งได้ตั้งเป้าหมายครองส่วนแบ่งตลาด(Market share) สัดส่วนร้อยละ 30 หลังการสร้างปิโตรเคมีคอมเพล็กซ์ที่จะเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ในปี 2561 ในปัจจุบันนี้กำลังการผลิตของผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีในอินโดนีเซียยังคงไม่เพียงพอกับความต้องการในอุตสาหกรรม ส่งผลให้มีการนำเข้าเป็นเงินจำนวนมากถึง 5 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ ต่อปี
นางคาเรน อากัสเทียวัน ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร(CEO) บริษัท พีที เปอร์ตามิน่า กล่าวว่า การประกาศความร่วมมือในวันนี้เป็นการยืนยันความมุ่งมั่นของเปอร์ตามีน่า ที่จะร่วมมือกับ PTTGC เพื่อการร่วมลงทุนโครงการปิโตรเคมี อันมีความสำคัญต่อการพัฒนาธุรกิจปิโตรเคมีปลายน้ำในประเทศอินโดนีเซีย โดย เปอร์ตามีน่า มีความพร้อมทั้งด้านวัตถุดิบ ทำเลสถานที่ที่เหมาะสมในการตั้งโรงงาน อันจะทำให้การลงทุนโครงการมีศักยภาพการแข่งขัน และมีประสิทธิภาพ
"เปอร์ตามีน่ามีความยินดีอย่างยิ่งที่มี PTTGC มาเป็นพันธมิตรของเราด้วยปัจจัยด้านประสบการณ์ ความเชี่ยวชาญ และความสำเร็จของ PTTGC ที่ผ่านมา รวมทั้งวัฒนธรรมของทั้งสองประเทศที่มีความใกล้เคียงกัน เป็นสิ่งสำคัญที่จะสร้างความสำเร็จจากความร่วมมือในระยะยาว โดยเราจะร่วมกันสร้าง Flagship ปิโตรเคมีของอินโดนีเซียให้เกิดขึ้น" นางคาเรน กล่าว
ด้านนายบวร วงศ์สินอุดม ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่(CEO) PTTGC กล่าวว่า นับตั้งแต่การลงนามความร่วมมือ HoA เมื่อวันที่ 1 เม.ย.ที่ผ่านมา เราได้ร่วมกันศึกษาความเป็นไปได้ของการลงทุนโครงการในเบื้องต้น ซึ่งปิโตรเคมีคอมเพล็กซ์ ที่จะจัดสร้าง ประกอบด้วย โรงแครกเกอร์ ที่มีกำลังการผลิตระดับโลก (World scale Cracker) เชื่อมโยงถึงธุรกิจปิโตรเคมีขั้นปลายน้ำ ในขั้นตอนต่อจากนี้เราจะร่วมกันศึกษาปัจจัยที่เกี่ยวข้องในรายละเอียดมากขึ้น รวมทั้งการเลือกสถานที่ตั้งปิโตรเคมีคอมเพล็กซ์ เพื่อสร้างความได้เปรียบในทางเศรษฐกิจ และการแข่งขัน
"PTTGC ให้ความสำคัญกับการจับมือเป็นพันธมิตรกับเปอร์ตามีน่า เพื่อสนองตอบต่อความเติบโตในศูนย์กลางเศรษฐกิจที่ใหญ่ที่สุดในกลุ่ม AEC ขณะที่ PTTGC มีความเชี่ยวชาญด้านอุตสาหกรรมปิโตรเคมี ทางเปอร์ตามีน่า ก็มีความเข้มแข็งในการเข้าถึงลูกค้าและตลาดภายในประเทศ จึงเป็นคู่พันธมิตรทางธุรกิจที่เกื้อหนุน ส่งเสริมกัน และสามารถนำมาซึ่งความสำเร็จ และการลงทุนที่มีศักยภาพ" นายบวร กล่าว