นายสลิบ สูงสว่าง ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร HYDRO เปิดเผยว่า บริษัทคาดว่ารายได้ในปี 56 จะอยู่ที่กว่า 700 ล้านบาท ต่ำกว่าปี 55 ที่มีรายได้ 881 ล้านบาท เนื่องจากบริษัทได้รับผลกระทบจากโครงการที่ได้รับงานเข้ามามีความล่าช้าออกไปจากเหตุการณ์น้ำท่วม รวมทั้งค่าแรงที่ปรับเพิ่มสูงขึ้นส่งผลให้ค่าใช้จ่ายในการบริหารจัดการปรับตัวเพิ่มสูงขึ้นไปด้วย
แต่บริษัทคาดว่ารายได้ปี 57 จะเติบโตไม่ต่ำกว่า 15% หลังจากงานที่มีความล่าช้าและมีต้นทุนค่อนข้างสูงแล้วเสร็จไปแล้วกว่า 80% ซึ่งจะทำให้อัตรากำไรสุทธิกลับมาอยู่ที่ไม่ต่ำกว่า 6% หลังจากปีนี้ลดลงไปอยู่ที่ราว 1% โดยปัจจุบันบริษัทมี backlog ราว 14,318.17 ล้านบาท ซึ่งจะทยอยรับรู้เป็นรายได้ในปี 57 ราว 800 ล้านบาท และบริษัทจะเริ่มรับรู้รายได้ในโครงการผลิตน้ำประปาที่จังหวัดเชียงใหม่ระยะแรกในไตรมาส 3/57 และระยะที่ 2 ในไตรมาส 4/57 จากนั้นจะรับรู้รายได้เต็มปีตั้งแต่ปี 58 เป็นต้นไป
สำหรับงานโครงการบริหารจัดการน้ำในเมืองมัณฑะเลย์ของพม่า ปัจจุบันอยู่ระหว่างการก่อสร้าง คาดว่าจะแล้วเสร็จช่วงไตรมาส 3-4/57 และจะรับรู้รายได้เต็มที่ตั้งแต่ปี 58 ซึ่งจะส่งผลให้รายได้เติบโตแบบก้าวกระโดด
"ในปีนี้เราได้รับผลกระทบจากค่าแรงที่ปรับเพิ่มสูงขึ้นและงานที่มีความล่าช้าออกไป ส่งผลกระทบต่อค่าใช้จ่ายให้เพิ่มสูงขึ้น ทำให้รายได้ของเราน่าจะต่ำกว่าปีก่อน แต่อย่างไรก็ตามรายได้ในปี 57 ก็น่าจะกลับมาเติบโตได้ไม่ต่ำกว่า 15% เพราะรายได้งานที่มีความล่าช้า และต้นทุนสูงก็เริ่มหมดไปแล้ว ซึ่งก็จะทำให้อัตรากำไรสุทธิปี 57 กลับมาอยู่ในระดับปกติที่ไม่ต่ำกว่า 6 % จากปีนี้ที่ไม่น่าจะต่ำกว่า 1% ขณะที่ปี 58 เราจะรับรู้รายได้ท้งจากโครงการในพม่า และโครงการที่เชียงใหม่ ก็จะทำให้รายได้ของเราเติบโตได้อย่างก้าวกระโดด"นายสลิบ กล่าว
สำหรับปี 57 บริษัทมีแผนจะเข้าประมูลงานในประเทศอีก 2,230 ล้านบาท คาดว่าจะได้รับงานราว 60-70% ขณะที่งานโครงการบริหารจัดการน้ำในเมืองย่างกุ้งของพม่ามูลค่า 800-1,000 ล้านบาทนั้น ปัจจุบันอยู่ระหว่างการทำเอกสารเพื่อขอสิทธิประโยชน์ทางภาษี ซึ่งในปี 57 น่าจะมีความชัดเจนมากขึ้น ขณะเดียวกันบริษัทอยู่ระหว่างเจรจากับพันธมิตรที่จะเข้ามาร่วมทุนเพื่อรับงานในพม่า หลังจากที่การร่วมทุนกับ บมจ.ยูนิเวอร์แซล แอดซอร์บเบ้นท์ แอนด์ เคมิคัลส์(UAC) ไม่ประสบความสำเร็จ คาดว่าจะได้ข้อสรุปในช่วงไตรมาส 1/57 นี้ โดยคาดว่าจะเข้ามาถือหุ้นราว 10-25%
นายสลิบ กล่าวต่อว่า บริษัทไม่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์การเมืองที่เกิดขึ้น เนื่องจากงานส่วนใหญ่เป็นงานขนาดกลาง โดยส่วนใหญ่ก็ได้รับอนุมัติงบประมาณมาแล้ว ซึ่งไม่เกี่ยวข้องกับโครงการขนาดใหญ่ ทั้งโครงการลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐานมูลค่า 2 ล้านล้านลาท และโครงการบริหารจัดการน้ำ 3.5 แสนล้านบาท
"โครงการส่วนใหญ่ของบริษัทฯจะเป็นโครงการขนาดกลาง ที่ได้รับการอนุมัติงบประมาณมาแล้ว ซึ่งไม่ได้เกี่ยวกับโครงการที่มีขนาดใหญ่ของภาครัฐ การเมืองที่เกิดขึ้นในปัจจุบันจึงไม่ได้กระทบต่อเราเลย"นายสลิบ กล่าว