KBANK ตั้งเป้าสินเชื่อ SME ปี 57 โต 9-11% ตามเศรษฐกิจ จากปี 56 โต 10%

ข่าวหุ้น-การเงิน Wednesday December 11, 2013 15:45 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นายพัชร สมะลาภา รองกรรมการผู้จัดการ ธนาคารกสิกรไทย (KBANK) เปิดเผยว่า ในปี 57 ธนาคารตั้งเป้าหมายยอดสินเชื่อเอสเอ็มอีอยู่ที่ 571,983 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นประมาณ 9-11% รายได้รวมอยู่ที่ 39,678 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 13% และสินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) อยู่ที่ 2.55% นอกจากนี้ธนาคารยังมุ่งเน้นการทำงานเพื่อสร้างความพึงพอใจให้กับพนักงาน ลูกค้า และผู้ถือหุ้น โดยตั้งเป้าหมายเพิ่มดัชนีความพึงพอใจในบริการจาก 75% เป็น 77% ภายในสิ้นปี 57

ส่วนในปี 56 มียอดสินเชื่อเอสเอ็มอีอยู่ที่ 516,169 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี 55 ประมาณ 10% รายได้รวมอยู่ที่ 35,196 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี 55 ประมาณ 13% และ NPL อยู่ที่ 3.05% ลดลงจากปี 55 ซึ่งอยู่ที่ 3.20%

นายพัชร กล่าวว่า สำหรับกลยุทธ์การดำเนินงานสายงานธุรกิจลูกค้าผู้ประกอบการปีหน้า ธนาคารจะดำเนินการภายใต้สโลแกน K SME ช่วยเต็มที่ SME มีแต่ได้ โดยมีกลยุทธ์ใน 3 ด้าน คือ กลยุทธ์ด้านพนักงาน เพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของพนักงานให้มากขึ้น โดยลดพื้นที่การดูแลลูกค้าและลดงานที่ไม่เกี่ยวข้องลง เพื่อให้การทำงานมีประสิทธิภาพและสามารถตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้อย่างทั่วถึงและมีประสิทธิภาพสูงสุด

กลยุทธ์ในการดูแลลูกค้าเก่า ด้วยการสนับสนุนวงเงินสินเชื่อที่เพียงพอต่อการดำเนินธุรกิจ ภายใต้เงื่อนไขที่ง่ายขึ้น รวมถึงการดูแลพนักงานด้วยความใส่ใจและการเยี่ยมเยียนลูกค้าอย่างสม่ำเสมอ ซึ่งจะส่งผลให้ลูกค้าใช้บริการกับธนาคารมากขึ้น และมีความพึงพอใจในการใช้บริการของธนาคารที่ดีขึ้น

และ กลยุทธ์ในการดูแลลูกค้าใหม่ที่ยังไม่สามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุน โดยธนาคารจะให้การสนับสนุนด้านเงินทุนแก่ลูกค้ากลุ่มนี้ ซึ่งเป็นกลุ่มที่ทำธุรกิจซื้อขายเงินสด ไม่เดินบัญชี ไม่มีหลักประกัน ซึ่งโดยปกติกลุ่มนี้จะเข้าถึงแหล่งเงินทุนในระบบได้ยากมาก ธนาคารจะให้การสนับสนุนด้วยการออกผลิตภัณฑ์และบริการที่เหมาะสม

นายพัชร กล่าวเพิ่มว่า ในปี 57 จากที่ธนาคารตั้งเป้ายอดสินเชื่อไว้ที่ 9-11% ซึ่งสอดคล้องกับการเติบโตทางเศรษฐกิจที่ยังชะลอตัว ถือเป็นความท้าทายของธนาคารพาณิชย์ ควบคู่ไปกับการบริหารคุณภาพสินเชื่อ โดยอาจจะต้องวางแนวทางการบริหารความเสี่ยงที่รัดกุมมากขึ้น ซึ่งเกิดจากปัจจัยเสี่ยงทางด้านการเมืองที่มีความไม่แน่นอน อาจจะมีผลต่อการลงทุนของภาครัฐและเอกชนได้ และอาจเห็นเม็ดเงินบางส่วนที่ไหลออกไปลงทุนในสหรัฐฯ หลังจากที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ชะลอมาตรการ QE ตลอดจนความกังวลต่อหนี้ครัวเรือน ทำให้สภาพคล่องภายในประเทศมีแนวโน้มตึงตัวมากขึ้น ซึ่งจะส่งผลต่อเงินทุนหมุนเวียน และวงเงินกู้ระยะยาวที่อาจจะทรงตัวหรือลดลง


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ