สำหรับปีนี้ DIMET ตั้งเป้าการเติบโตของรายได้ (ผลประกอบการปี 56/57) ประมาณ 15% โดยสีทาอาคารและสีอุตสาหกรรมในโครงการขนาดใหญ่ จะเป็นผลิตภัณฑ์หลักในการผลักดันการเติบโต ขณะที่ผลิตภัณฑ์อื่นๆบริษัทยังคงมีการทำตลาดกับกลุ่มลูกค้าอย่างต่อเนื่อง สัดส่วนรายได้แบ่งออกเป็นสีกันสนิม 45% สีเคลือบไม้และสีอุตสาหกรรม 25% สีทาอาคารและอื่นๆ 30%
บริษัทคาดว่าในปีนี้สีทาอาคารจะมีแนวโน้มการเติบโตอย่างก้าวกระโดด เนื่องจากบริษัทจะมุ่งเน้นการนำเสนอผลิตภัณฑ์สีทาภายในและตกแต่งเป็นหลัก เนื่องจากการสำรวจตลาด พบว่า กลุ่มผู้ใช้มองหาสีที่คุณภาพดี สวยงามให้ความแตกต่าง ใช้งานง่าย ทนทาน ปลอดภัยต่อสุขภาพ-สิ่งแวดล้อม ซึ่งสี DIMET สามารถตอบโจทย์ความต้องการดังกล่าวได้เป็นอย่างดี
อนึ่ง ผลประกอบการไตรมาสแรก (ก.ค.-ก.ย.56) มีรายได้รวมอยู่ที่ 104.02 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 13.57% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีรายได้รวมอยู่ที่ 91.58 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิอยู่ที่ 3.45 ล้านบาท ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีขาดทุนสุทธิจำนวน 2.12 ล้านบาท ซึ่งสามารถพลิกกลับมามีกำไรได้ในรอบ 2 ปี เมื่อเปรียบเทียบไตรมาสต่อไตรมาส
ทั้งนี้ เป็นผลมาจากการเติบโตของยอดขายสีเกือบทุกประเภทที่มีการปรับตัวเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะในส่วนของสีกันสนิม สีอุตสาหกรรม ที่ได้เน้นเจาะกลุ่มลูกค้าองค์กรขนาดใหญ่ ขณะที่สีทาอาคารได้มีการขยายช่องทางการเพิ่มมากขึ้น โดยในปัจจุบันมีการขยายช่องทางการจำหน่ายผ่านโฮมโปร 10 สาขา เมกาโฮม สาขารังสิต 1 สาขา โกลบอลเฮ้าส์ 4 สาขา คาดว่าภายในเดือน ธ.ค.56 บริษัทจะสามารถขยายช่องทางการจำหน่ายทั้งในส่วนของโมเดิร์นเทรดและตัวแทนจำหน่ายรวม 50 แห่งทั่วประเทศ จากปัจจุบันมีอยู่ 45 แห่งทั่วประเทศ ประกอบกับปัจจัยการบริหารจัดการต้นทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพ และมีกำไรจากการประมาณการตามหลักคณิตศาสตร์ประกันภัย ตามนโยบายบัญชีเรื่องผลประโยชน์พนักงาน
อีกทั้งบริษัทมีนโยบายจะบุกตลาดต่างประเทศมากขึ้น โดยเฉพาะในกลุ่มประเทศเพื่อนบ้าน อาทิ อินโดนีเซีย เวียดนาม ลาว พม่า ซึ่งทางบริษัทได้ตั้งเป้าขยายสัดส่วนจาก 15% ในปัจจุบัน เป็น 30 % ในปี 57/58 ในช่วงที่ผ่านมาทางบริษัทได้มีการเตรียมความพร้อมเพิ่มกำลังการผลิตโดยการนำเข้าเครื่องจักร งบลงทุน 5-10 ล้านบาท ส่งผลให้ปัจจุบันกำลังการผลิตอยูที่ประมาณ 5 ล้านลิตรต่อปี และมีแผนจะเพิ่มคลังสินค้าเพื่อรองรับกำลังการผลิตสินค้าสีอุตสาหกรรมและสีทาอาคารที่จะเพิ่มขึ้นอีก