“ทีมผู้บริหารชุดใหม่เข้ามาเพื่อช่วยกันเพิ่มศักยภาพและสร้างความแข็งแกร่งให้กับ บล.คันทรี่ กรุ๊ป และรองรับการแข่งขันที่มีมากขึ้นเป็นลำดับ รวมถึงเป็นการเตรียมความพร้อมรองรับการเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนปี 2558 ซึ่งจะช่วยเสริมความเชื่อมั่นให้กับผู้ถือหุ้น จากจุดเด่นทีมผู้บริหารที่เชี่ยวชาญและมากด้วยประสบการณ์ด้านธุรกิจหลักทรัพย์ ทำให้มั่นใจว่าภายหลังการเปิดตัวผู้บริหารใหม่ในครั้งนี้ จะช่วยเพิ่มความแข็งแกร่งสู่การเติบโตอย่างยั่งยืนต่อไป"
สำหรับแผนกลยุทธ์ทางธุรกิจ CGS จะเน้นการบริหารงานเป็นทีม (Team Work) ตั้งแต่ผู้บริหารระดับสูง ไปจนถึงทีมงานฝ่ายต่างๆ โดยนางสาวสุดธิดาจะรับผิดชอบในส่วนของตราสารทุน 1,2,3,4 และ 5 ธุรกิจสถาบัน การพัฒนาธุรกิจ และการตลาดองค์กร เป็นต้น ขณะที่นายชนะชัย จะดูแลในส่วนตราสารทุน 6 และ 7 และการพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ รวมทั้งได้มีการเสริมทีมงานใหม่ต่างๆ อาทิ ตราสารหนี้ (Bond) และบริการยืมและให้ยืมหลักทรัพย์ (Securities Borrowing and Lending: SBL)
ส่วนนายชูพงศ์ ธนเศรษฐกร ยังคงเป็นผู้บริหารหลักสายวาณิชธนกิจ โดยคาดว่าจะสามารถนำบริษัทใหม่เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ได้อย่างต่อเนื่องในปีหน้า และจะมีการเสริมทีมงานด้านการควบรวมกิจการ(M&A)อีกด้วย
“บริษัทอยู่ระหว่างการศึกษาเพื่อพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่สู่ตลาดอย่างครบวงจร เช่น บริการยืมและให้ยืมหลักทรัพย์ (SBL) และใบสำคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์ (Derivative Warrants) ซึ่งจะช่วยต่อยอดธุรกิจด้านกองทุนส่วนบุคคล (Private Fund) รวมทั้งจะมีการศึกษาเรื่องตราสารหนี้ (Bond) เพื่อเพิ่มผลิตภัณฑ์ใหม่ ซึ่งจะเป็นเครื่องมือในการช่วยบริหารความเสี่ยงด้านธุรกิจให้ลดลงได้มากยิ่งขึ้น เพื่อสนองตอบความต้องการของลูกค้าทั้งที่เป็นนักลงทุนรายย่อยและนักลงทุนสถาบัน อันจะนำไปสู่การเพิ่มส่วนแบ่งทางการตลาด รายได้ และผลกำไรที่มากขึ้น"นางสาวสุดธิดา กล่าว
นางสาวสุดธิดา กล่าวต่อถึงแผนงานด้านการตลาดว่าจะมุ่งเน้นการทำกำไรของแต่ละสาขา โดยพิจารณาทบทวนเรื่องผลประกอบการ และขยายฐานลูกค้าใหม่ โดยปัจจุบัน CGS มีสาขาทั้งสิ้น 50 สาขา ซึ่งปี 57 ได้วางแผนโรดโชว์ตามสาขา เพื่อให้ข้อมูลกับทีมงานด้านการตลาดเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ใหม่และแนวโน้มของตลาดหุ้นและการลงทุน เพื่อสามารถให้คำแนะนำกับลูกค้าได้ดียิ่งขึ้น พร้อมกันนี้ยังได้เป็นพันธมิตรกับ บลจ.เอ็มเอฟซี ซึ่งจะช่วยในด้านการขยายบริการต่างๆ ได้มากขึ้น รวมถึงการต่อยอดธุรกิจต่างๆ
“CGS จะเน้นการให้บริการลูกค้ารายย่อย ซึ่งมีฐานลูกค้าถึง 40,000 ราย ด้วยบริการด้านหลักทรัพย์ที่ครบวงจร เพื่อตอบสนองทุกไลฟ์สไตล์ของนักลงทุน รวมทั้งขยายการลงทุนและเตรียมความพร้อมด้านต่างๆ โดยเฉพาะผลิตภัณฑ์และบริการ เพื่อให้บริการลูกค้าแบบครบวงจร พร้อมมุ่งเน้นงานวิจัย และการพัฒนาระบบไอที ให้มีความทันสมัยและรวดเร็ว ตลอดถึงการบริหารต้นทุนอย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อผลักดันองค์กรให้มีการเติบโตอย่างแข็งแกร่ง" นางสาวสุดธิดา กล่าวในที่สุด
สำหรับผลดำเนินงานไตรมาส 3/56 บริษัทฯ มีรายได้รวม 390.39 ล้านบาท และกำไรสุทธิ 12.81 ล้านบาท โดยงวด 9 เดือนมีรายได้รวม 1,773.37 ล้านบาท และกำไรสุทธิ 379.55 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 223.33 ล้านบาทหรือร้อยละ 142.96 จากงวดเดียวกันของปีก่อน มีมูลค่าตามบัญชี 1.32 บาทต่อหุ้น และมีกำไรสะสมทั้งสิ้น 692.46 ล้านบาท