สำหรับ พันธบัตรรัฐบาล รุ่นที่นิยมซื้อขายสูงสุดในวันนี้คือ พันธบัตรรุ่น LB196A, LB155A และ LB176A (รุ่นอายุ 5.5 ปี, 1.4 ปี และ 3.5 ปี ตามลำดับ) โดยมีมูลค่าการซื้อขายรวมกัน 20,987 ล้านบาท หรือคิดเป็น 78% ของมูลค่าการซื้อขายพันธบัตรรัฐบาลทั้งหมด ทางด้าน หุ้นกู้เอกชน รุ่นที่นิยมซื้อขายสูงสุด 3 อันดับแรกในวันนี้ คือ
1. หุ้นกู้ไม่มีประกันของบริษัท กรุงเทพดุสิตเวชการ จำกัด (มหาชน) (BGH235A) มูลค่า 110.8 ล้านบาท
2. หุ้นกู้ของบริษัท ช. การช่าง จำกัด (มหาชน) (CK143A) มูลค่า 104.2 ล้านบาท
3. หุ้นกู้มีประกันของบริษัท เมอร์เซเดส-เบนซ์ (ประเทศไทย) จำกัด (MBTH157A) มูลค่า 92.4 ล้านบาท
โดยมีมูลค่าการซื้อขายรวมกัน 307.4 ล้านบาท หรือคิดเป็น 46.4% ของมูลค่าการซื้อขายหุ้นกู้เอกชนทั้งหมดในวันนี้
ทางด้านประเภทของนักลงทุน ที่มีมูลค่าการซื้อขายสูงที่สุดเป็น 2 อันดับแรกในวันนี้ คือ
1. กลุ่มบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) มียอดซื้อสุทธิ เท่ากับ 3,285 ล้านบาท
2. กลุ่มสถาบันการเงินที่ไม่มีใบอนุญาตเพื่อค้าตราสารหนี้ มียอดซื้อสุทธิ เท่ากับ 3,076 ล้านบาท
ในขณะที่นักลงทุนต่างชาติ มียอดขายสุทธิ เท่ากับ -313 ล้านบาท
ผลตอบแทนของพันธบัตรรัฐบาลอายุ 3 เดือน ปิดที่ 2.34% ไม่มีการเปลี่ยนแปลงจากเมื่อวาน และผลตอบแทนของพันธบัตรรัฐบาลอายุ 5 ปี ปิดที่ 3.52% ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากเมื่อวาน 0.01%
Yield Curve ค่อนข้างนิ่ง โดยปรับเพิ่มขึ้นเล็กน้อยในตราสารอายุ 10 ปีขึ้นไป ประมาณ 1-2 bps. นักลงทุนติดตามปัจจัยต่างประเทศ ซึ่งล่าสุดสภาคองเกรสสหรัฐฯ สามารถบรรลุข้อตกลงเพื่อหลีกเลี่ยงการปิดหน่วยงานรัฐฯ (Shutdown) ส่งผลให้นักลงทุนคาดว่า มีความเป็นไปได้มากขึ้นที่ Fed อาจปรับลดมาตรการ QE ในการประชุมวันที่ 17-18 ธ.ค.นี้ สำหรับนักลงทุนต่างชาติมียอดขายสุทธิ (NET SELL) เท่ากับ 313 ล้านบาท