บลจ.กสิกรไทยเสนอขายกองทุนตราสารหนี้ใน-ตปท.พักเงินระยะสั้นรอดูทิศทางศก.

ข่าวหุ้น-การเงิน Monday December 16, 2013 14:24 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นางสาวยุพาวดี ตู้จินดา ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บลจ.กสิกรไทย เปิดเผยว่า ในวันที่ 17–24 ธันวาคม 2556 บลจ.กำหนดเสนอขายกองทุนตราสารหนี้ในประเทศและต่างประเทศ ประเภทกำหนดอายุโครงการต่อเนื่อง 3 กองทุน ทั้งอายุโครงการ 3 เดือน และ 6 เดือน ซึ่งประกอบไปด้วย กองทุนเปิดเค ตราสารหนี้ต่างประเทศ 6 เดือนเอวี (KFF6MAV) ให้โอกาสรับผลตอบแทนหลังหักค่าใช้จ่ายกองทุนที่ 3.20% ต่อปี กองทุนเปิดเคตราสารหนี้ 3 เดือนดีคิว (KFI3MDQ) ประมาณการผลตอบแทนหลังหักค่าใช้จ่ายกองทุนที่ 2.95% ต่อปี และกองทุนเปิดเคคุ้มครองเงินต้น ตราสารหนี้ไทย 3 เดือนดีเค (KPPTF3MDK) โอกาสรับผลตอบแทนหลังหักค่าใช้จ่ายกองทุนที่ 2.45% ต่อปี

สำหรับกองทุนเปิดเคตราสารหนี้ 3 เดือนดีคิว (KFI3MDQ) จะลงทุนในเบื้องต้นประกอบด้วยเงินฝาก China Construction Bank Corporation, สาขาฮ่องกง (A/Fitch), เงินฝาก Bank of China,สาขามาเก๊า (A/Fitch), ตราสารหนี้ บริษัท โตโยต้า ลีสซิ่ง (ประเทศไทย) จำกัด,ประเทศไทย (AAA/TRIS), ตราสารหนี้ ธนาคารธนชาต จำกัด (มหาชน), ประเทศไทย (A+(tha)/Fitch), ตราสารหนี้ ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน), ประเทศไทย (AA-(tha)/Fitch) ตามลำดับ

ด้านกองทุนเปิดเคตราสารหนี้ต่างประเทศ 6 เดือนเอวี (KFF6MAV) จะลงทุนในเบื้องต้นประกอบด้วยเงินฝาก China Construction Bank Corporation, สาขาฮ่องกง( A/Fitch), เงินฝาก Bank of China, สาขามาเก๊า (A/Fitch), ตราสารหนี้ Yapi Kredi Bankasi A.S., ประเทศตุรกี (BBB/Fitch), ตราสารหนี้ BTG Investments LP ที่รับประกันโดย BTG Pactual Holding S.A., ประเทศบราซิล (BBB-/Fitch), ตราสารหนี้ Bank of East Asia Ltd., สาขาฮ่องกง(A/S&P) , ตราสารหนี้ ธนาคารธนชาต จำกัด (มหาชน), ประเทศไทย (A+(tha)/Fitch) โดยทั้ง 2 กองทุนดังกล่าวมีนโยบายป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนทั้งจำนวน

นอกจากนี้ เพื่อตอบรับความต้องการสำหรับผู้ลงทุนที่รับความเสี่ยงได้ต่ำมากและต้องการลงทุนระยะสั้นกับตราสารหนี้ในประเทศเป็นหลัก ในช่วงเวลาเดียวกัน บลจ.กสิกรไทยจึงเปิดขายกองทุนเปิดเค คุ้มครองเงินต้น ตราสารหนี้ไทย 3 เดือนดีเค (KPPTF3MDK) ซึ่งจะเน้นลงทุนในพันธบัตรรัฐบาลไทย หรือ พันธบัตรธนาคารแห่งประเทศไทย และบางส่วนในเงินฝากประจำ 3 เดือนของธนาคารพาณิชย์ ซึ่งจะให้โอกาสรับผลตอบแทนปลอดภาษีสำหรับลูกค้าบุคคลธรรมดาที่ 2.45% ต่อปี

สำหรับภาพรวมของเศรษฐกิจในช่วงนี้ ยังคงต้องจับตามอง เพราะแรงกดดันจากหลายปัจจัย โดยเฉพาะปัญหาทางการเมือง และภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัวลง บวกกับผลการประชุมของเฟดในวันที่ 18 ธันวาคม นี้ ว่าจะออกมาในทิศทางใดกับมาตรการปรับลด QE ดังนั้นผู้ลงทุนที่สามารถรับความเสี่ยงได้ต่ำควรกระจายความเสี่ยงกับการลงทุนในตราสารหนี้ประเภทกำหนดอายุโครงการ เพื่อพักเงินในระยะสั้นรอดูทิศทางของเศรษฐกิจ และจับจังหวะการลงทุนในสินทรัพย์อื่นๆ ต่อไป


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ