สำหรับพันธบัตรรัฐบาล รุ่นที่มีปริมาณการซื้อขายสูงที่สุด 3 อันดับแรกคือรุ่น LB196A (อายุ 5.5 ปี) LB176A (อายุ 3.5 ปี) และ LB236A (อายุ 9.5 ปี) โดยมีมูลค่าการซื้อขายในแต่ละรุ่นเท่ากับ 41,632 ล้านบาท 14,998 ล้านบาท และ 6,100 ล้านบาท ตามลำดับ ส่วนพันธบัตรที่ออกโดยธนาคารแห่งประเทศไทย รุ่นที่มีปริมาณซื้อขายสูงสุด 3 อันดับแรก คือรุ่น CB13D27A (อายุ 10 วัน) CB14109A (อายุ 27 วัน) และ CB14313B (อายุ 91 วัน) มูลค่าการซื้อขายเท่ากับ 23,125 ล้านบาท 21,748 ล้านบาท และ 15,579 ล้านบาท ตามลำดับ
ขณะที่หุ้นกู้ภาคเอกชน ที่มีปริมาณการซื้อขายสูงที่สุด 3 อันดับแรก ได้แก่ หุ้นกู้ของบริษัทปูนซิเมนต์ไทย จำกัด (มหาชน) รุ่น SCC17OA (A) มูลค่าการซื้อขาย 276 ล้านบาท หุ้นกู้ของบริษัท โตโยต้า ลีสซิ่ง (ประเทศไทย) จำกัด รุ่น TLT149A (AAA) มูลค่าการซื้อขาย 264 ล้านบาท และหุ้นกู้ของบริษัท โตโยต้า ลีสซิ่ง (ประเทศไทย) จำกัด รุ่น TLT146A (AAA) มูลค่าการซื้อขาย 181 ล้านบาท
เส้นอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาล (Yield Curve) ค่อนข้างนิ่ง ในตราสารหนี้อายุน้อยกว่า 10 ปี โดยปรับตัวเพิ่มขึ้นเล็กน้อยประมาณ 1 Basis Point (100 Basis Point มีค่าเท่ากับ 1%) ขณะที่ผลตอบแทนของตราสารหนี้อายุตั้งแต่ 10 ปีขึ้นไป ปรับตัวลดลง ในช่วงประมาณ -3 ถึง -6 Basis Point ภายหลังรัฐบาลประกาศยุบสภาเพื่อลดแรงกดดันจากกลุ่มผู้ชุมนุมต่อต้านรัฐบาล ส่งผลให้สถานการณ์ทางการเมืองคลี่คลายลง และบรรยากาศการลงทุนปรับตัวดีขึ้น ทำให้มีแรงซื้อกลับเข้ามาในตลาดตราสารหนี้ โดยเฉพาะในตราสารหนี้ระยะยาว จากนักลงทุนสถาบันในประเทศและนักลงทุนต่างชาติ ประกอบกับในช่วง 2 – 3 สัปดาห์ก่อนหน้านี้มีแรงขายพันธบัตรระยะยาวออกมาค่อนข้างมาก ส่งผลให้ราคาตราสารหนี้ระยะยาวปรับตัวลดลงไปพอสมควร จึงทำให้มีแรงซื้อกลับเข้ามาอีกครั้งในสัปดาห์นี้ อย่างไรก็ตาม ตัวเลขเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ที่มีแนวโน้มดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทั้งตัวเลขการจ้างงานนอกภาคการเกษตร และอัตราการว่างงาน ประจำเดือน พ.ย. ทำให้นักลงทุนคาดการณ์ว่า ธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) อาจจะเริ่มลดขนาดของมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ (QE) ในการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงินสหรัฐฯ (FOMC) ที่จะมีขึ้นในวันที่ 17 – 18 ธ.ค. นี้ ส่งผลให้มีแรงขายของนักลงทุนต่างชาติออกมาบ้างในช่วงท้ายของสัปดาห์
ในสัปดาห์นี้นักลงทุนต่างชาติมียอด ขายสุทธิ ในตราสารหนี้ทุกประเภท (ทั้งระยะสั้น และระยะยาว) รวมกัน 389 ล้านบาท โดยแบ่งเป็นการซื้อสุทธิในตราสารหนี้ระยะยาว 5,568 ล้านบาท และ ขายสุทธิในตราสารหนี้ระยะสั้น (อายุคงเหลือน้อยกว่า 1 ปี) 5,957 ล้านบาท ทางด้านนักลงทุนรายย่อยมียอดขายสุทธิ 25 ล้านบาท