บลจ.อเบอร์ดีน มองตลาดหุ้นไทยยังน่าลงทุน-ภาคธุรกิจแข็งแกร่ง

ข่าวหุ้น-การเงิน Monday December 16, 2013 16:52 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นายพงค์ธาริน ทรัพยานนท์ หัวหน้าฝ่ายตราสารหนี้ บลจ.อเบอร์ดีน กล่าวว่า ภาพรวมของเศรษฐกิจมีหลายปัจจัยที่ส่งผลดี โดยมีการเติบโตของภูมิภาคที่ได้รับผลดีจากเศรษฐกิจของประเทศจีน การเพิ่มขึ้นของอุปสงค์ของประเทศสหรัฐฯ และการค้าภายในภูมิภาค ด้านเงินสดสำรองและดุลการค้ายังอยู่ในระดับดี ในส่วนของตลาดตราสารหนี้ นักลงทุนต่างชาติลงทุนในตลาดพันธบัตรลดลงในช่วงที่ผ่านมา ในขณะที่ราคาพันธบัตรอยู่ในระดับสมเหตุสมผล และค่าเงินบาทไม่น่าจะอ่อนกว่าปัจจุบันไปมาก ทั้งนี้แนวโน้มอัตราเงินเฟ้อที่อยู่ในระดับต่ำน่าจะสนับสนุนการลงทุนในตราสารหนี้ต่อไป

นายอดิเทพ วรรณพฤกษ์ ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการลงทุน บลจ.อเบอร์ดีน กล่าวว่า อเบอร์ดีนเชื่อว่ามูลค่าหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ยังอยู่ในระดับที่เหมาะสม โดยอัตราส่วนราคาหุ้นต่อกำไรสุทธิ (P/E) เฉลี่ยอยู่ที่ 13.3 เท่า แม้ว่ายังมีความเสี่ยงด้านสภาพคล่องจากภายนอกประเทศ ซึ่งอาจส่งผลให้เกิดความผันผวนของตลาดหลักทรัพย์ตลอดจนเม็ดเงินที่เข้ามาลงทุน แต่หากผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนเริ่มปรับตัวดีขึ้น ตลาดหลักทรัพย์ก็น่าจะยังมีเสถียรภาพ โดยมีอัตราการจ่ายปันผลอยู่ในระดับดีและสถานะทางการเงินของภาคธุรกิจก็ยังมีความแข็งแกร่ง

เราคาดว่าการส่งออกและการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน หากยังคงดำเนินต่อไปน่าจะเป็นปัจจัยหลักที่สนับสนุนการเติบโตของเศรษฐกิจภายในประเทศ สำหรับการบริโภคยังคงอยู่ในระดับต่ำต่อไปอีกระยะหนึ่ง ในขณะที่หนี้ภาคครัวเรือนเริ่มปรับตัวขึ้น แต่ทว่าปัจจัยการเมืองจะยังคงมีบทบาทต่อความไม่แน่นอนสำหรับเศรษฐกิจไทยต่อไป โดยสถานการณ์ความไม่แน่นอนทางการเมืองปัจจุบันอาจจะทำให้มีการชะลอการลงทุนและทำให้ความมั่นใจของนักลงทุนต่างชาติลดลงตลอดจนอาจส่งผลให้มีการเติบโตช้าลงด้วย

สำหรับประเทศไทย ภาคการส่งออกมีการคาดการณ์อัตราการเติบโตอยู่ที่ 7% สำหรับปี 57 ซึ่งจะชดเชยกับการชะลอตัวลงของการเติบโตภายในประเทศซึ่งเห็นได้จากจากการปรับตัวลดลงของสินเชื่อผู้บริโภคหลังจากมีการเติบโตในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา คาดว่าประเทศไทยจะยังคงได้รับความสนใจอย่างต่อเนื่องจากนักลงทุนต่างชาติ ซึ่งเห็นได้จากภาคการลงทุน FDI และภาคการท่องเที่ยว ที่มีมูลค่าสูงถึง 3-5% และ 10%ของ GDP ตามลำดับ

ทั้งนี้ การคาดการณ์อัตราการเติบโตของเศรษฐกิจไทยที่อยู่ในระดับประมาณ 3-3.5% นั้นต้องขึ้นอยู่กับปัจจัยทางการเมืองซึ่งได้มีการยุบสภาเมื่อเร็วๆนี้ด้วย หากมีความชัดเจนหลังการเลือกตั้ง ตลาดหลักทรัพย์น่าจะมีเสถียรภาพมากขึ้น โดยอเบอร์ดีนคาดว่าผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนน่าจะเติบโตประมาณ 10% หลังจากที่ได้มีการขายทำกำไรของนักลงทุนต่างชาติในช่วง 2-3 เดือนที่ผ่านมา ทำให้ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ปรับตัวลดลง 16% จากดัชนีสูงสุดที่ระดับ 1,643 ในเดือนพฤษภาคม


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ