ทั้งนี้ อันดับเครดิตสะท้อนถึงแบรนด์ของบริษัทซึ่งเป็นที่ยอมรับในตลาดที่อยู่อาศัยระดับกลางถึงบนตลอดจนกลยุทธ์การสร้างความแตกต่างของสินค้าที่อยู่อาศัย นอกจากนี้ การพิจารณาอันดับเครดิตยังคำนึงถึงความเสี่ยงที่บริษัทต้องใช้เงินลงทุนจำนวนมากในโครงการคอนโดมิเนียม “โนเบิล เพลินจิต" ซึ่งมีมูลค่าถึง 16,366 ล้านบาท รวมไปถึงอัตราส่วนเงินกู้รวมต่อโครงสร้างเงินทุนที่เพิ่มสูงขึ้น ลักษณะของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ที่เป็นวงจรขึ้นลงและมีการแข่งขันสูง ความกังวลในด้านต้นทุนการพัฒนาโครงการที่ปรับตัวสูงขึ้น และภาวะขาดแคลนแรงงานในกลุ่มผู้รับเหมาด้วย
ขณะที่แนวโน้มอันดับเครดิต “Stable" หรือ “คงที่" สะท้อนถึงการคาดการณ์ว่าบริษัทจะสามารถเปิดขายโครงการและส่งมอบที่อยู่อาศัยได้ตามกำหนด ทั้งนี้ คาดว่าอัตราส่วนเงินกู้รวมต่อโครงสร้างเงินทุนของบริษัทจะเพิ่มขึ้นในช่วง 3 ปีข้างหน้าจากการก่อสร้างโครงการคอนโดมิเนียมหลายโครงการตามแผนงาน อย่างไรก็ตาม อัตราส่วนเงินกู้รวมสุทธิต่อส่วนของผู้ถือหุ้นคาดว่าจะอยู่ในระดับต่ำกว่า 2 เท่า
NOBLE เป็นผู้ประกอบการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ขนาดกลางซึ่งก่อตั้งในปี 2534 และจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยในปี 2539 ณ เดือนพฤษภาคม 2556 ตระกูลธนากิจอำนวยและเครือญาติมีสัดส่วนการถือหุ้นในบริษัทรวมกัน 12% ที่อยู่อาศัยที่ได้รับการออกแบบให้มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวทำให้โครงการของบริษัทมีความแตกต่างไปจากโครงการของผู้ประกอบการรายอื่น บริษัทเน้นการพัฒนาโครงการคอนโดมิเนียมมาตั้งแต่ปี 2549 เนื่องจากแนวโน้มของตลาดนิยมการมีที่พักอยู่ในเมืองมากขึ้น
ณ สิ้นเดือนตุลาคม 2556 บริษัทมีโครงการที่อยู่อาศัย 15 โครงการซึ่งมีมูลค่าเหลือขายประมาณ 13,000 ล้านบาท บริษัทมียอดขายที่รอการส่งมอบในช่วงที่เหลือของปี 2556 จนถึงปี 2560 คิดเป็นมูลค่าประมาณ 15,000 ล้านบาท โครงการที่อยู่อาศัยของบริษัทประกอบด้วยคอนโดมิเนียมซึ่งมีสัดส่วนคิดเป็น 84% ของมูลค่าโครงการทั้งหมด บ้านเดี่ยว 7% ทาวน์เฮ้าส์ 6% และที่ดินเปล่า 3%
ยอดขายของบริษัทในช่วง 10 เดือนแรกของปี 2556 เท่ากับ 5,161 ล้านบาท เพิ่มขึ้นอย่างมากจากยอดขายเต็มปีของปี 2555 ที่ 2,852 ล้านบาทซึ่งเป็นผลมาจากการตอบรับที่ดีจากการเปิดขายโครงการโนเบิล รีวอลฟ์ รัชดา โดยสามารถสร้างยอดขายได้ถึง 81% ณ เดือนตุลาคม 2556 หรือคิดเป็นมูลค่า 2,253 ล้านบาท รายได้รวมของบริษัทในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2556 เติบโต 70% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนเป็น 2,131 ล้านบาท โดยรายได้ส่วนใหญ่มาจากการโอนโครงการโนเบิล รีฟอร์ม
อัตรากำไรขั้นต้นของบริษัทยังคงอยู่ในระดับสูงโดยอยู่ที่ 38%-39% ในช่วงปี 2551 ถึง 9 เดือนแรกของปี 2556 ทั้งนี้ บริษัทมีอัตรากำไรจากการดำเนินงานซึ่งวัดจากอัตราส่วนกำไรจากการดำเนินงานก่อนค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายต่อรายได้จากการขายเท่ากับ 19%-21% ในช่วงปี 2554 ถึง 9 เดือนแรกของปี 2556 ในขณะที่เงินกู้รวมเพิ่มขึ้นเป็น 10,164 ล้านบาท ณ เดือนกันยายน 2556 จาก 7,806 ล้านบาทในปี 2555 และ 6,279 ล้านบาทในปี 2554 โดยเงินกู้ส่วนใหญ่มาจากการลงทุนในโครงการโนเบิล เพลินจิต บริษัทมีอัตราส่วนเงินกู้รวมต่อโครงสร้างเงินทุนเพิ่มสูงขึ้นเป็น 71% ณ เดือนกันยายน 2556 จาก 66% ในปี 2555 และ 62% ในปี 2554
อย่างไรก็ตาม บริษัทถือเงินสดอยู่ในมือจำนวนมากที่ 3,927 ล้านบาท ดังนั้น อัตราส่วนเงินกู้รวมสุทธิหลังจากหักเงินสดในมือต่อโครงสร้างเงินทุนจึงเหลือเพียง 60% ซึ่งสูงขึ้นเพียงเล็กน้อยจากปีที่แล้ว กระแสเงินสดของบริษัทอยู่ในระดับที่ยอมรับได้โดยบริษัทมีอัตราส่วนเงินทุนจากการดำเนินงานต่อเงินกู้รวมเท่ากับ 5%-6% ในช่วงปี 2554 ถึง 9 เดือนแรกของปี 2556 และมีอัตราส่วนกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่ายต่อดอกเบี้ยจ่ายที่ 2-3 เท่าในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา นอกจากนี้ การที่บริษัทถือเงินสดจำนวนมากจึงทำให้ไม่มีความกังวลเรื่องสภาพคล่องทางการเงิน