ทริสฯ คงเครดิตองค์กร-หุ้นกู้ BCP ที่ “A-/Stable"

ข่าวหุ้น-การเงิน Friday December 20, 2013 14:32 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

ทริสเรทติ้งคงอันดับเครดิตองค์กรและหุ้นกู้ไม่มีประกันของ บมจ. บางจากปิโตรเลียม(BCP) ที่ระดับ “A-" ด้วยแนวโน้ม “Stable" หรือ “คงที่"

อันดับเครดิตสะท้อนถึงความสำเร็จในการดำเนินธุรกิจโรงกลั่นน้ำมันของบริษัท ตลอดจนการผสานธุรกิจการตลาดเข้ากับการดำเนินกิจการโรงกลั่นน้ำมัน การกระจายธุรกิจไปสู่การผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ และการสนับสนุนจาก บมจ.ปตท.(PTT) ทั้งนี้ การพิจารณาอันดับเครดิตดังกล่าวได้ประเมินถึงความผันผวนของราคาน้ำมันและค่าการกลั่น (GRM) ไว้ด้วยแล้ว

ในขณะที่แนวโน้มอันดับเครดิต “Stable" หรือ “คงที่" สะท้อนถึงการคาดการณ์ว่าบริษัทจะสามารถดำรงสถานะทางการตลาดที่แข็งแกร่งในช่องทางการค้าปลีกได้อย่างต่อเนื่อง ในขณะที่การลงทุนในโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์จะสร้างรายได้ที่แน่นอนให้แก่บริษัทในระยะยาวและจะช่วยลดความผันผวนของธุรกิจน้ำมันของบริษัทได้ในระยะกลาง

BCP ก่อตั้งในปี 2528 และจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยในปี 2536 บริษัทเป็นเจ้าของและดำเนินธุรกิจโรงกลั่นน้ำมันแบบคอมเพล็กซ์ (Complex Refinery) ซึ่งตั้งอยู่ในเขตกรุงเทพมหานคร โดยมีกำลังการกลั่น 120,000 บาร์เรลต่อวัน หรือคิดเป็นประมาณ 11% ของกำลังการกลั่นทั้งหมดในประเทศ บริษัทยังดำเนินธุรกิจสถานีบริการน้ำมันภายใต้เครื่องหมายการค้า “บางจาก" โดย ณ สิ้นเดือนกันยายน 2556 บริษัทมีสถานีบริการน้ำมันจำนวน 1,068 แห่ง นอกจากนี้ บริษัทยังดำเนินงานโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ด้วยกำลังการผลิตรวมทั้งสิ้น 70 เมกะวัตต์

ในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2556 กำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่าย (EBITDA) ของบริษัทมาจากโรงกลั่นน้ำมัน 70% จากธุรกิจการตลาด (การจำหน่ายผ่านสถานีบริการและกลุ่มลูกค้าอุตสาหกรรม) 17% และจากธุรกิจผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ 13% ณ เดือนกันยายน 2556 ผู้ถือหุ้นของบริษัทประกอบด้วย ปตท. 27.22% กระทรวงการคลัง 9.98% และส่วนที่เหลืออีก 62.80% ถือโดยนักลงทุนทั่วไป

สถานะทางธุรกิจที่แข็งแกร่งของบริษัทสะท้อนถึงการผสานธุรกิจการตลาดเข้ากับการดำเนินกิจการโรงกลั่นน้ำมัน โรงกลั่นน้ำมันแบบคอมเพล็กซ์ของบริษัทมีความสามารถในการกลั่นน้ำมันดิบได้หลากหลายชนิดและสามารถกลั่นน้ำมันจนได้ผลิตภัณฑ์ที่ให้กำไรสูง เช่น น้ำมันดีเซล และน้ำมันอากาศยานในสัดส่วนที่สูง ในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2556 บริษัทมีปริมาณน้ำมันดิบเข้ากลั่นเพิ่มขึ้นเป็น 98,700 บาร์เรลต่อวันจากเมื่อปี 2555 ซึ่งอยู่ที่ 73,700 บาร์เรลต่อวัน

สำหรับผลิตภัณฑ์น้ำมันที่บริษัทกลั่นได้ในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2556 ประกอบด้วยน้ำมันดีเซล 48% น้ำมันเบนซิน 20% น้ำมันเตา 18% และน้ำมันอากาศยาน 11% สำหรับค่าการกลั่นพื้นฐาน (Base GRM) ของบริษัทอยู่ที่ 6.1 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรลในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2556 อย่างไรก็ตาม ความไม่แน่นอนของภาวะเศรษฐกิจโลกยังคงเป็นปัจจัยที่ส่งผลต่อราคาน้ำมันและค่าการกลั่น

ผลิตภัณฑ์น้ำมันสำเร็จรูปที่จำหน่ายผ่านธุรกิจการตลาดของบริษัทมีปริมาณเพิ่มขึ้นจาก 375 ล้านลิตรต่อเดือนในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2555 เป็น 403 ล้านลิตรต่อเดือนในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2556 โดยจำหน่ายผ่านสถานีบริการประมาณ 60% ของยอดจำหน่ายรวม ส่วนที่เหลืออีก 40% จำหน่ายโดยตรงให้แก่ลูกค้าอุตสาหกรรม ในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2556 บริษัทมีสถานะเป็นผู้จำหน่ายน้ำมันผ่านสถานีบริการที่ใหญ่เป็นอันดับ 3 ของประเทศด้วยส่วนแบ่งทางการตลาด 14.8% เพิ่มขึ้นจาก 13.8% ในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2555

บริษัทได้เข้าลงทุนในธุรกิจผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ตั้งแต่ปี 2554 โดยบริษัทมีสัญญาซื้อขายไฟฟ้ารวมทั้งสิ้น 118 เมกะวัตต์ โดยแต่ละสัญญาบริษัทได้รับส่วนเพิ่มอัตราค่าไฟฟ้า (Adder) จำนวน 8 บาทต่อกิโลวัตต์-ชั่วโมง ณ เดือนกันยายน 2556 โรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ของบริษัทกำลังผลิตรวม 70 เมกะวัตต์ได้เปิดดำเนินงานแล้ว ส่วนอีก 48 เมกะวัตต์อยู่ระหว่างการก่อสร้างและคาดว่าจะแล้วเสร็จภายในปี 2557 เมื่อโรงไฟฟ้าสามารถเปิดดำเนินงานได้ทั้งหมด บริษัทคาดว่าจะสามารถสร้าง EBITDA จากโรงไฟฟ้าได้ปีละประมาณ 2,500-2,8000 ล้านบาท หรือคิดเป็น 20%-25% ของประมาณการ EBITDA รวมของบริษัท ซึ่งกระแสเงินสดที่ได้รับจากธุรกิจไฟฟ้าคาดว่าจะช่วยลดผลกระทบต่อกำไรของบริษัทจากความผันผวนของธุรกิจน้ำมันได้

สถานะทางการเงินของบริษัทในช่วงปี 2555 ถึง 9 เดือนแรกของปี 2556 อยู่ในประมาณการของทริสเรทติ้ง แม้ว่าในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2556 ราคาน้ำมันจะลดลงเมื่อเทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน แต่บริษัทก็มีรายได้เพิ่มขึ้น 14.1% เป็น 138,450 ล้านบาทซึ่งเป็นผลมาจากการมีปริมาณขายที่สูงกว่าเดิม โดยบริษัทมีอัตราส่วนกำไรจากการดำเนินงานก่อนค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่าย 4.2% ในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2556 ในขณะที่โครงสร้างเงินทุนยังคงอยู่ในระดับที่น่าพอใจโดยมีอัตราส่วนเงินกู้รวมต่อโครงสร้างเงินทุนที่ระดับ 37.2% ณ สิ้นเดือนกันยายน 2556

ในช่วง 3 ปีข้างหน้า ทริสเรทติ้งมีสมมติฐานว่าบริษัทจะมี EBITDA อยู่ในช่วง 7,000-10,000 ล้านบาทโดยมีปริมาณน้ำมันดิบเข้ากลั่น 100,000 บาร์เรลต่อวัน มีค่าการกลั่นพื้นฐานเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 6.5 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล และคาดว่าบริษัทจะมีการลงทุนสำหรับโครงการใหม่ในระหว่างปี 2556-2559 คิดเป็นมูลค่าประมาณ 26,400 ล้านบาท ซึ่งประกอบด้วยโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ การปรับปรุงประสิทธิภาพและขยายกำลังการกลั่นของโรงกลั่น และการขยายเครือข่ายการตลาดของบริษัท รวมไปถึงการลงทุนในธุรกิจพลังงานทดแทนอื่น ทั้งนี้ เมื่อพิจารณาจาก EBITDA และแผนการลงทุนแล้ว คาดว่าสัดส่วนหนี้สินต่อทุนของบริษัทจะเพิ่มขึ้นเล็กน้อยในช่วงที่มีการลงทุนใหม่ อย่างไรก็ตาม ทริสเรทติ้งคาดว่าสัดส่วนนี้จะอยู่ในระดับไม่เกิน 45% ในระยะ 3 ปีข้างหน้า


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ