ปัจจัยเสี่ยงที่นักวิเคราะห์ให้น้ำหนักเรื่องการเมืองไทย และการชะลอหรือยกเลิกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ(QE)ของสหรัฐ ขณะที่ปัจจัยบวก ได้แก่ การคาดการณ์เศรษฐกิจโลกจะฟื้นตัว นักวิเคราะห์ปรับลดอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจปี 56 และปี 57 ลงเหลือเฉลี่ย 2.9% และ 4.0% ตามลำดับ จากประมาณการครั้งก่อน (สำรวจ ณ กค.56) ที่ 4.6% (ปี 56) และ 4.8% อัตราแลกเปลี่ยน 32.50 บาท/ดอลลาร์ อัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ 2.3%
นางภรณี ทองเย็น อุปนายก สมาคมนักวิเคราะห์การลงทุน ได้สำรวจนักวิเคราะห์เกี่ยวกับแนวโน้มการลงทุนในปี 57 กล่าวว่า การเติบโตของเศรษฐกิจไทยในปี 57 จะเติบโตได้ราว 4% ตามการเติบโตของเศรษฐกิจโลก จากที่เศรษฐกิจประเทศหลักคือ สหรัฐฯ ญี่ปุ่น รวมถึงประเทศในแถบยุโรปเริ่มกลับมาฟื้นตัวได้ค่อนข้างดี ทำให้การส่งออกของไทยเติบโตไปด้วย โดยเฉพาะสินค้าประเภทอาหาร นอกจากนั้น แนวโน้มการส่งออกไก่สดของไทยน่าจะดีขึ้นหลังจากกลับมาส่งออกไปยังญี่ปุ่นได้ รวมทั้งการส่งออกกุ้งที่ก่อนหน้ามีปัญหาโรค EMS จะกลับเข้ามาสู่ภาวะปกติ
อย่างไรก็ตาม ปัจจัยที่ยังต้องมีการติดตามคือสถานการณ์ทางการเมืองว่าจะออกมาในทิศทางได หากไม่สามารถหาทางออกได้ ก็อาจจะกระทบต่อการลงทุนต่างๆของภาครัฐให้มีความล่าช้าออกไป และอาจส่งผลให้ต้องมีการปรับลดคาดการณ์อัตราการเติบโตของเศรษฐกิจไทยในปีหน้าได้
สำหรับข้อแนะนำการลงทุนในปี 57 ควรเลือกลงทุนในหุ้นที่มีปัจจัยพื้นฐานดี มีกระแสเงินสด และผลประกอบการมั่นคง มีอัตราผลตอบแทนเงินปันผลสูงสม่ำเสมอ มี PER ไม่สูง และได้รับประโยชน์จากโครงการภาครัฐ รวมถึงกลุ่มที่เกี่ยวข้องกับการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกเป็นหลัก โดยเฉพาะกลุ่มส่งออกอาหาร ปิโตรเคมี และอิเล็กทรอนิกส์ โดยแนะนำหุ้น CPF, PTTGC, TUF รวมทั้งกระจายความเสี่ยงไปในการลงทุนสินทรัพย์ โดยให้น้ำหนักการลงทุนในหุ้นในประเทศ 36% หุ้นต่างประเทศ 20% ทองคำ 5% ตราสารหนี้ 23% เงินสดและเงินฝาก 15% อื่น ๆ 1%
ส่วนการเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนให้แก่ประชาชนเป็นครั้งแรก (IPO)ในปี 57 คาดว่าจะมีจำนวนราว 20 บริษัทใกล้เคียงกับปีนี้ แต่คงต้องติดตามสถานการณ์ทางการเมือง และความน่าสนใจในการเข้าระดมทุน ขณะที่มูลค่าการระดมทุนผ่านตลาดหลักทรัพย์อาจจะต่ำกว่าปีนี้เนื่องจากบริษัทจดทะเบียนใหม่จะมีขนาดเล็กลง
นักวิเคราะห์ฯ ยังประเมินนราคาทองคำสิ้นปี 57 อยู่ที่ 18,362 บาท ซึ่งปรับเพิ่มขึ้นจากการสำรวจครั้งก่อนที่ 17,658 บาท นอกจากนี้ยังเชื่อว่าในปีหน้านักลงทุนต่างชาติจะกลับมาซื้อสุทธิ 1.7 หมื่นล้านบาท ส่วนนักลงทุนสถาบันในประเทศคาดว่ามีการขายสุทธิ 5,444 ล้านบาท และ พอร์ตของบริษัทหลักทรัพย์ จะมีการซื้อสุทธิ 5,571 ล้านบาท