วัตถุประสงค์นำเงินที่ได้จากการระดมทุนครั้งนี้ไปใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในการดำเนินธุรกิจ ทั้งนี้ มั่นใจว่าจะหุ้น AJD จะได้รับความสนใจจากนักลงทุน ด้วยปัจจัยพื้นฐานที่แข็งแกร่ง โดยล่าสุดงวด 9 เดือนมีกำไรสุทธิมากถึง 50.68 ล้านบาท ซึ่งทำได้มากกว่ากำไรสุทธิตลอดทั้งปี 2555 ที่มีกำไรสุทธิ 32.31 ล้านบาทไปแล้ว ขณะเดียวกันแนวโน้มอุตสาหกรรมเครื่องใช้ไฟฟ้าขยายตัวต่อเนื่อง
นายสมภพ กีระสุนทรพงษ์ กรรมการผู้อำนวยการ บล.ฟินันเซีย ไซรัส (FSS) ในฐานะแกนนำการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่ายหุ้นสามัญเพิ่มทุนของ AJD มั่นใจว่าเมื่อเปิดให้จองซื้อหุ้นเพิ่มทุน เชื่อว่าจะได้รับการตอบที่ดีจากนักลงทุน เนื่องจาก AJ เป็นแบรนด์ไทยอันดับ 1 ของเครื่องใช้ไฟฟ้าทำให้มีอำนาจต่อรองต่อ Supplier และ Distributor, รวมถึงการมีช่องทางการจำหน่ายที่แข็งแกร่งผ่านร้านค้าปลีกสมัยใหม่ (Moderan Trade) เป็นหลัก เช่น เดอะมอลล์, เทสโก้โลตัส, บิ๊กซี, แม็คโคร โฮมโปร และเพาเวอร์บาย เป็นต้น ซึ่งมีสาขากระจายในหลายภูมิภาคทั่วประเทศทำให้สามารถเข้าถึงกลุ่มผู้บริโภคเป้าหมายได้อย่างทั่วถึง
นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังทีมงานฝ่ายขายที่มีความชำนาญและความเชี่ยวชาญในการจัดหาผลิตภัณฑ์เพื่อตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคได้อย่างดีเยี่ยมโดยในปีหน้าจะมีสินค้าใหม่เพื่อรองรับระบบทีวีดิจิตอลที่จะเกิดขึ้นซึ่งถือเป็นโอกาสในการเติบโตในอนาคตของบริษัทอย่างมีนัยสำคัญ
ด้านนายอมร มีมะโน กรรมการผู้จัดการใหญ่ AJD เปิดเผยว่า เงินที่ได้จากการระดมทุนในครั้งนี้มีแผนจะนำไปใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในการดำเนินธุรกิจเพื่อรองรับการขยายธุรกิจในอนาคต โดยคาดว่ารายได้ในปี 2557 น่าจะขยายตัวก้าวกระโดดเนื่องจากจะมีสินค้าใหม่เพื่อรองรับระบบทีวีดิจิตอลที่จะเกิดขึ้น AJD ประกอบธุรกิจจัดหาและจัดจำหน่ายเครื่องใช้ไฟฟ้า ภายใต้แบรนด์ AJ โดยจำหน่ายผ่านทางโมเดิร์นเทรด อาทิ เทสโก้ โลตัส, บิ๊กซี, พาวเวอร์บาย,เดอะ มอลล์ และแมคโคร เป็นต้น นอกจากนี้ ยังมีร้านดีลเลอร์จำนวนมากกว่า 140 แห่ง รวมถึงการจำหน่ายโดยตรงให้กับผู้บริโภคผ่านการจัดงานออกร้านและงานลดราคาสินค้า
ทั้งนี้ โมเดิร์นเทรดเป็นช่องทางการจำหน่ายหลักของบริษัท โดยมีสัดส่วนเกินกว่าร้อยละ 90 ของช่องทางการจำหน่ายรวม
สำหรับลูกค้ากลุ่มเป้าหมายของ AJD คือ กลุ่มผู้บริโภคระดับกลางลงไป ซึ่งมีความต้องการสินค้าคุณภาพดีและราคาไม่สูงโครงสร้างผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของ AJD ประกอบไปด้วย กลุ่มนายอมร มีมะโน ถือหุ้น 284,250,000 หุ้น หรือคิดเป็น 47.38% ของทุนชำระแล้วหลัง IPO และกลุ่มนายพิภัทร์ ปฏิเวทภิญโญ ถือหุ้น 161,750,000 หุ้นหรือคิดเป็น 26.96% ของทุนชำระแล้วหลัง IPO รวมกันเป็น 74.34% ของทุนชำระแล้วหลัง IPO ซึ่งทั้งสองคนเป็นผู้บริหารหลักของบริษัทฯ