อย่างไรก็ตาม ปัจจัยสนับสนุนดังกล่าวลดทอนลงไปบางส่วนจากธรรมชาติของธุรกิจโรงแรมที่มีความผันผวนและการแข่งขันที่รุนแรงยิ่งขึ้น นอกจากนี้ บริษัทยังต้องเผชิญกับความท้าทายในการปรับปรุงผลประกอบการให้ดีขึ้นซึ่งเป็นประเด็นกังวลต่ออันดับเครดิตของบริษัท
ในขณะที่แนวโน้มอันดับเครดิต “Stable" หรือ “คงที่" สะท้อนถึงนโยบายทางการเงินแบบอนุรักษ์นิยมของบริษัท ตลอดจนอัตรากำไรที่ค่อย ๆ ปรับตัวดีขึ้น และโอกาสการเติบโตจากธุรกิจบริหารโรงแรม อย่างไรก็ตาม ความสามารถในการทำกำไรที่ต่ำของบริษัทยังเป็นประเด็นกังวลต่ออันดับเครดิต ทั้งนี้ บริษัทได้รับการคาดหมายว่าจะสามารถปรับปรุงและพัฒนาขีดความสามารถในการแข่งขันเพื่อให้บริษัทสามารถดำรงอยู่ได้ในอุตสาหกรรมที่มีความอ่อนไหวและผันผวนอย่างเช่นอุตสาหกรรมโรงแรมนี้ได้และเพื่อสนับสนุนสถานะอันดับเครดิตของบริษัทด้วย
บริษัทดุสิตธานีเป็นหนึ่งในผู้ประกอบธุรกิจโรงแรมชั้นนำของไทยซึ่งดำเนินงานและให้บริการบริหารโรงแรมภายใต้ชื่อดุสิตธานี ดุสิตปริ้นเซส ดุสิตดีทู ดุสิตเทวารัณย์ และดุสิตเรสซิเดนซ์ บริษัทก่อตั้งในเดือนกันยายน 2509 โดยท่านผู้หญิงชนัตถ์ ปิยะอุย และในปี 2513 ได้เปิดดำเนินการโรงแรม 5 ดาวในชื่อ “ดุสิตธานี" ในกรุงเทพฯ เป็นแห่งแรก ปัจจุบันกลุ่มดุสิตธานีมีโรงแรมทั้งหมด 10 แห่ง ซึ่งรวมโรงแรม 3 แห่งของกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์และสิทธิการเช่าดุสิตธานีด้วย
การมีประวัติที่ยาวนานได้สร้างชื่อเสียงที่มั่นคงและทำให้บริษัทสามารถขยายสู่ธุรกิจการให้บริการบริหารโรงแรมทั้งในประเทศและต่างประเทศ ได้แก่ ประเทศฟิลิปปินส์ มัลดีฟส์ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ และอียิปต์
ณ เดือนกันยายน 2556 บริษัทมีโรงแรมภายใต้การบริหารงานจำนวน 4,848 ห้อง โดยในจำนวนนี้เป็นโรงแรมที่บริษัทให้บริการบริหารจัดการ 41% แม้บริษัทจะขยายการดำเนินธุรกิจไปยังต่างประเทศ แต่รายได้มากกว่า 70% ยังคงมาจากการดำเนินธุรกิจภายในประเทศเป็นหลัก
อย่างไรก็ตาม คาดว่าโรงแรมแห่งใหม่คือดุสิตธานีมัลดีฟส์ซึ่งเปิดให้บริการเต็มรูปแบบเมื่อเดือนกันยายน 2555 จะช่วยเพิ่มสัดส่วนรายได้จากต่างประเทศของบริษัทให้มีมากขึ้น ซึ่งจะช่วยลดผลกระทบที่เกิดจากความเสี่ยงจากเหตุการณ์ไม่ปรกติภายในประเทศได้บางส่วน นอกจากนี้ บริษัทยังดำเนินธุรกิจเกี่ยวกับการศึกษาและการฝึกอบรมด้วย อย่างไรก็ตาม รายได้จากธุรกิจดังกล่าวยังอยู่ในสัดส่วนที่ต่ำ
ผลการดำเนินงานของบริษัทค่อย ๆ ปรับตัวดีขึ้นหลังจากที่บริษัทได้รับผลกระทบจากสภาพตลาดที่ไม่เอื้ออำนวยและการแข่งขันที่รุนแรงของธุรกิจโรงแรมในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ในปี 2555 บริษัทบันทึกรายได้ 4,318 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 21% เมื่อเทียบกับปี 2554 ส่วนในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2556 นั้น รายได้ของบริษัทเพิ่มขึ้น 14% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน เป็น 3,417 ล้านบาท การเพิ่มขึ้นของรายได้ดังกล่าวมีปัจจัยหลักมาจากการเปิดให้บริการเต็มรูปแบบของโรงแรมดุสิตธานี มัลดีฟส์ เมื่อเดือนกันยายน 2555
สำหรับ 9 เดือนแรกของปี 2556 อัตราการเข้าพักเฉลี่ยของโรงแรมของบริษัทเพิ่มขึ้นเป็น 70% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนที่ 65% ในขณะที่อัตราค่าห้องพักเฉลี่ยต่อคืนเพิ่มขึ้น 13% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยอยู่ที่ 3,503 บาท อัตราค่าห้องพักเฉลี่ยต่อคืนที่เพิ่มขึ้นมีสาเหตุหลักมาจากอัตราค่าห้องพักเฉลี่ยต่อคืนที่สูงของโรงแรม
ดุสิตธานีมัลดีฟส์ซึ่งยังส่งผลให้อัตราค่าห้องพักเฉลี่ยต่อคืนของกลุ่มดุสิตธานีปรับตัวเพิ่มขึ้นด้วย อย่างไรก็ตาม ภาพลักษณ์ของโรงแรมที่ไม่ทันสมัยและการแข่งขันที่รุนแรงเป็นปัจจัยจำกัดความสามารถในการตั้งราคาห้องพักของบริษัท อัตราค่าห้องพักต่อคืนของโรงแรมของบริษัทจึงมีอัตราที่ต่ำกว่าเมื่อเปรียบเทียบกับคู่แข่ง นอกจากนี้ ความขัดแย้งทางการเมืองภายในประเทศที่ยืดเยื้อยังได้ส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมการท่องเที่ยวในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปี 2556 ด้วย ซึ่งจะส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมท่องเที่ยวอย่างต่อเนื่องต่อไปในปี 2557
งบดุลของบริษัทยังคงอยู่ในระดับที่ดีแม้จะมีการลงทุนขนาดใหญ่ในโรงแรมดุสิตธานีมัลดีฟส์ในระยะ 2-3 ปีที่ผ่านมา อัตราส่วนเงินกู้รวมต่อโครงสร้างเงินทุนของบริษัทอยู่ที่ 29.12% ณ เดือนกันยายน 2556 อย่างไรก็ตาม บริษัทยังคงเผชิญกับความท้าทายในการปรับปรุงความสามารถในการทำกำไรอยู่ อัตราส่วนกำไรจากการดำเนินงานก่อนค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายของบริษัทอยู่ที่ 10.8%
สำหรับ 9 เดือนแรกของปี 2556 ซึ่งถือว่าต่ำเมื่อเทียบกับอัตราเฉลี่ยของอุตสาหกรรม การที่บริษัทประกันรายได้ค่าเช่าให้กับกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์และสิทธิการเช่าดุสิตธานีและค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นจากการเตรียมบุคคลากรเพื่อรองรับการขยายธุรกิจบริหารโรงแรมเป็นปัจจัยที่กดดันอัตราส่วนกำไรจากการดำเนินงานของบริษัท อัตรากำไรที่ลดลงส่งผลทำให้กระแสเงินสดจากการดำเนินงานลดลงตามไปด้วย
สำหรับ 9 เดือนแรกของปี 2556 บริษัทมีเงินทุนจากการดำเนินงาน 539 ล้านบาท ในขณะที่อัตราส่วนเงินทุนจากการดำเนินงานต่อหนี้สินรวมอยู่ที่ 21.57% ภายใต้สมมติฐานของทริสเรทติ้ง คาดว่าบริษัทจะมีเงินทุนจากการดำเนินงานที่ประมาณ 730-830 ล้านบาทต่อปีในระยะ 3 ปีข้างหน้า ซึ่งจะเพียงพอต่อการชำระหนี้และลงทุนในการปรับปรุงรักษาคุณภาพของโรงแรม
ในอนาคต บริษัทมีแผนกลยุทธ์มุ่งเน้นการเพิ่มจำนวนโรงแรมที่บริษัทรับบริหารกิจการ ทั้งนี้ บริษัทได้ลงนามในสัญญาให้บริการบริหารกิจการโรงแรมและอยู่ระหว่างการเจรจากับผู้ประกอบการโรงแรมใหม่ ๆ หลายรายทั้งในประเทศอินเดีย จีน ซาอุดิอาระเบีย สหรัฐอเมริกา และเคนยา หากแผนดังกล่าวประสบความสำเร็จ รายได้จากธุรกิจบริหารกิจการโรงแรมก็จะช่วยให้อัตราผลกำไรโดยรวมของบริษัทปรับตัวดีขึ้นด้วย