ทริส จัดอันดับเครดิตหุ้นกู้วงเงินไม่เกิน 1.6 พันลบ. TICON ที่ “A/Stable”

ข่าวหุ้น-การเงิน Friday January 10, 2014 17:19 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

ทริสเรทติ้งจัดอันดับเครดิตหุ้นกู้ไม่มีประกันในวงเงินไม่เกิน 1,600 ล้านบาทของ บมจ.ไทคอน อินดัสเทรียล คอนเน็คชั่น(TICON) ที่ระดับ “A" พร้อมทั้งคงอันดับเครดิตองค์กรและหุ้นกู้ไม่มีประกันชุดปัจจุบันของบริษัทที่ระดับ “A" เช่นกัน โดยแนวโน้มยังคง “Stable" หรือ “คงที่"

ทั้งนี้ อันดับเครดิตสะท้อนถึงสถานะผู้นำของบริษัทในธุรกิจโรงงานสำเร็จรูปและคลังสินค้าให้เช่า ตลอดจนกระแสเงินสดที่สม่ำเสมอจากรายได้ค่าเช่าโรงงานและคลังสินค้า อย่างไรก็ตาม ค่าใช้จ่ายในการลงทุนจำนวนมากการแข่งขันที่รุนแรงในธุรกิจคลังสินค้าให้เช่า และความไม่แน่นอนในการฟื้นตัวของภาวะเศรษฐกิจที่ส่งผลกระทบต่อการลงทุนทั่วโลกถือว่าเป็นปัจจัยเสี่ยงต่ออันดับเครดิตของบริษัท

ในขณะที่แนวโน้มอันดับเครดิต “Stable" หรือ “คงที่" อยู่บนพื้นฐานการคาดการณ์ว่าบริษัทจะยังคงสามารถรักษาความเป็นผู้นำในตลาดโรงงานสำเร็จรูป และคลังสินค้าให้เช่าได้ต่อไป แม้บริษัทจะมีค่าใช้จ่ายในการลงทุนสำหรับการพัฒนาโรงงานและคลังสินค้าในทำเลใหม่จำนวนมาก แต่การลงทุนดังกล่าวจะช่วยให้บริษัทลดการพึ่งพิงพื้นที่ให้เช่าที่มีอยู่ในเขตจังหวัดพระนครศรีอยุธยาลง

TICON เป็นผู้นำในธุรกิจโรงงานสำเร็จรูปให้เช่าในประเทศไทย โดยก่อตั้งในปี 2533 และจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยในปี 2545 บริษัทได้ขยายธุรกิจสู่การให้บริการคลังสินค้าให้เช่าตั้งแต่ปี 2548 โดย ณ เดือนธันวาคม 2556 บริษัทมีโรงงานให้เช่าจำนวน 78 แห่งและมีคลังสินค้าให้เช่าจำนวน 33 แห่งซึ่งตั้งอยู่ในนิคมอุตสาหกรรมสำคัญ ๆ และพื้นที่โลจิสติกส์หลักของประเทศ รวมเป็นพื้นที่ให้เช่าทั้งสิ้น 368,763 ตารางเมตร (ตร.ม.) ในช่วงที่ผ่านมารายได้หลักของบริษัท (มากกว่า 60%) มาจากการขายสินทรัพย์ของบริษัทเข้ากองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ ในขณะที่ประมาณ 30% ของรายได้มาจากค่าเช่าโรงงานและคลังสินค้า ในระหว่างปี 2550-2553 รายได้จากการขายสินทรัพย์เข้ากองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ของบริษัทเพิ่มขึ้นเป็น 4,300 ล้านบาทในปี 2555 และ 5,500 ล้านบาทในปี 2556 จากเดิมที่มีรายได้จากการขายสินทรัพย์ปีละประมาณ 2,000 ล้านบาท

ปัจจุบันผู้ถือหุ้นใหญ่ของบริษัทยังคงเป็น บมจ. สวนอุตสาหกรรมโรจนะ (ROJNA) (20.6%) กลุ่มซิตี้เรียลตี้ (6.6%) และกลุ่มผู้บริหารของบริษัท (6.5%) ความได้เปรียบในการแข่งขันของบริษัทมาจากผลงานการให้เช่าโรงงานสำเร็จรูปที่มีคุณภาพ รวมทั้งความสามารถในการก่อสร้างโรงงานสำเร็จรูปตามมาตรฐานในราคาที่ต่ำกว่าคู่แข่งจากการใช้ทีมงานก่อสร้างของบริษัทเอง ปัจจุบันบริษัทมีโรงงานสำเร็จรูปให้เช่ากระจายตัวอยู่ในทำเลต่าง ๆ 15 ทำเลและมีคลังสินค้าให้เช่าอีก 16 ทำเล

รายงานของ CB Richard Ellis (CBRE) ระบุว่าบริษัทยังคงเป็นผู้นำในธุรกิจโรงงานสำเร็จรูปและคลังสินค้าให้เช่าในประเทศไทย ณ เดือนกันยายน 2556 บริษัทและกองทุนอสังหาริมทรัพย์ภายใต้การบริหารของบริษัทมีส่วนแบ่งทางการตลาดของพื้นที่โรงงานให้เช่ารวม 54% ซึ่งสูงกว่าคู่แข่งรายอื่นเป็นอย่างมาก โดยคู่แข่งสำคัญประกอบด้วย บมจ. เหมราชพัฒนาที่ดิน (HEMRAJ) (19%) บริษัท ปิ่นทอง อินดัสเตรียล ปาร์ค จำกัด (11%) บมจ. อมตะ คอร์ปอเรชัน (AMATA) (9%) บมจ. ไทยพัฒนาโรงงานอุตสาหกรรม (TFD) และกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ไทยอินดัสเตรียล 1 (6%) นอกจากนี้ บริษัทยังเป็นผู้ให้บริการคลังสินค้าให้เช่ารายใหญ่ของประเทศ จากข้อมูลของ CBRE ณ เดือนกันยายน 2556 พื้นที่คลังสินค้าให้เช่าของบริษัทและกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ คิดเป็น 37% ของพื้นที่คลังสินค้าให้เช่าของทั้งประเทศ รองจาก บมจ. ดับบลิวเอชเอ คอร์ปอเรชั่น (WHA) (54%)

ในปี 2556 พื้นที่โรงงานให้เช่าของบริษัทเติบโต 27% จาก 518,948 ตร.ม. ณ สิ้นปี 2555 เป็น 659,208 ตร.ม. บริษัทขายพื้นที่ให้เช่าแก่กองทุนอสังหาริมทรัพย์รวม 290,445 ตร.ม. ในปี 2556 การเติบโตของพื้นที่ให้เช่าเป็นผลจากการเติบโตของพื้นที่โรงงานให้เช่าในอัตรา 23% และการเติบโตของพื้นที่คลังสินค้าให้เช่าในอัตรา 31% การเติบโตของพื้นที่ให้เช่าดังกล่าวได้รับแรงสนับสนุนจากการเติบโตของความต้องการโรงงานให้เช่าในพื้นที่ภาคตะวันออกของประเทศไทยและความต้องการคลังสินค้าให้เช่าจากผู้ให้บริการโลจิสติกส์และจากธุรกิจสินค้าอุปโภคบริโภค

ถึงแม้ว่าพื้นที่ให้เช่าและรายได้ค่าเช่าในปี 2555 และปี 2556 จะเพิ่มขึ้น แต่อัตราการเช่าไม่รวมพื้นที่เช่าล่วงหน้า (Pre-leased area) ณ สิ้นเดือนธันวาคม 2556 กลับปรับตัวลดลงเป็น 55% เปรียบเทียบกับ 73% ณ สิ้นปี 2555 และ 94% ณ สิ้นปี 2554 อัตราการเช่าที่ลดลงมีสาเหตุหลักมาจากการขยายตัวของพื้นที่คลังสินค้าและโรงงานให้เช่าในทำเลใหม่ในช่วงปี 2555 ถึงปี 2556 รวมทั้งยังมีพื้นที่ให้เช่าที่ว่างจำนวนมากในเขตที่เคยน้ำท่วม

รายได้ค่าเช่าของบริษัทเติบโตเพิ่มขึ้นในช่วงปี 2555 ถึง 9 เดือนแรกของปี 2556 โดยรายได้ค่าเช่าในปี 2555 เพิ่มขึ้น 20% เป็น 1,053 ล้านบาทจาก 880 ล้านบาทในปี 2554 สำหรับช่วง 9 เดือนแรกของปี 2556 รายได้ค่าเช่าอยู่ที่ระดับ 863 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 12.4% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน อัตรากำไรขั้นต้นของค่าเช่าใน 9 เดือนแรกของปี 2556 เท่ากับ 76% ฟื้นตัวจากระดับต่ำสุดที่ 63% ในปี 2555 หลังเหตุการณ์น้ำท่วมใหญ่ การเพิ่มขึ้นของกำไรขั้นต้นเนื่องจากการเพิ่มขึ้นของพื้นที่ให้เช่าโดยเฉพาะในส่วนของโรงงานให้เช่า การปรับขึ้นราคาค่าเช่า การลดลงของค่าซ่อมแซมจากเหตุการณ์อุทกภัย และการหยุดคิดค่าเสื่อมราคาอสังหาริมทรัพย์เพื่อการลงทุนที่จัดประเภทเป็นสินทรัพย์ไม่หมุนเวียนที่ถือไว้เพื่อขายในเดือนพฤษภาคม 2556 หากไม่รวมผลกระทบจากการจัดประเภทสินทรัพย์ใหม่ อัตรากำไรขั้นต้นของค่าเช่าใน 9 เดือนแรกของปี 2556 จะเท่ากับ 69%

ตั้งแต่ปี 2554 เป็นต้นมา บริษัทมีค่าใช้จ่ายในการลงทุนเพิ่มขึ้นมากเนื่องจากบริษัทลงทุนสร้างโรงงานและคลังสินค้าในทำเลอื่น ๆ เพิ่มเติมเพื่อรองรับความต้องการโรงงานและคลังสินค้าให้เช่าที่เพิ่มสูงขึ้นโดยเฉพาะในเขตภาคตะวันออกและจังหวัดใหญ่ ๆ บริษัทมีภาระหนี้เงินกู้รวมเพิ่มขึ้นเป็น 17,023 ล้านบาท ณ สิ้นไตรมาสที่ 3 ของปี 2556 เทียบกับ 8,757 ล้านบาท ณ สิ้นปี 2554 อัตราส่วนเงินกู้รวมต่อโครงสร้างเงินทุนอ่อนแอลงเป็น 68.7% ณ เดือนกันยายน 2556 จาก 60.4% ณ สิ้นปี 2554

อัตราส่วนหนี้สินของบริษัทคาดว่าจะยังคงอยู่ในระดับค่อนข้างสูง เนื่องจากบริษัทมีแผนจะลงทุนเพิ่มประมาณ 9,500 ล้านบาทในปี 2556 และประมาณปีละ 7,000-8,000 ล้านบาทในปี 2557-2558 เงินลงทุนในปี 2556 ส่วนใหญ่จะนำไปใช้ซื้อที่ดินในจังหวัดสำคัญ ๆ และในเขตพื้นที่โลจิสติกส์หลักของประเทศ ได้แก่ จังหวัดขอนแก่น สุราษฎร์ธานี และพื้นที่บริเวณถนนบางนา-ตราด เป็นต้น อย่างไรก็ตามทริสเรทติ้งคาดว่าโครงสร้างทุนของบริษัทจะปรับตัวดีขึ้นในระยะต่อไปเนื่องจากเงินลงทุนดังกล่าวส่วนหนึ่งจะมาจากการขายสินทรัพย์เข้ากองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ และ/หรือ กองทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ (REIT) ทั้งนี้ ในเดือนธันวาคม 2556 บริษัทได้ขายโรงงานและคลังสินค้ามูลค่ารวม 5,515 ล้านบาทให้กับกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ