ทั้งนี้ ในช่วง 4 ปีที่ผ่านมา(งวดปี 52-55) บริษัทมียอดขายเติบโต 1.5 เท่า ในงวดปี 57 (เม.ย. 57-มี.ค. 58) บริษัทตั้งเป้าเพิ่มสัดส่วนตลาดอื่นโดยเฉพาะในอาเซียน เพิ่มเป็น 24% แต่ก็ยังเน้นตลาดญี่ปุ่นและตลาดในไทย สัดส่วน 40% และ 36% ตามลำดับ จากเมื่อปี 55 มีสัดส่วนตลาดญี่ปุ่น,ไทย, ตลาดอื่น เป็น 44%, 36% และ 19% เพราะเห็นแนวโน้มตลาดอาเซียนเติบโต ซึ่งจะมุ่งเจาะตลาดอินโดนีเซียและเวียดนามที่มีจำนวนประชากรมาก โดยในอินโดนีเซียเพิ่งตั้งตัวแทนจำหน่ายเมื่อพ.ย.ที่ผ่านมา ขณะที่เวียดนามทำตลาดมาได้ 2 ปี
"เรามอง AEC เป็นโอกาส ถือว่าสอดคล้องกับความต้องการของเราที่จะขยายตลาดอาเซียน โดยเฉพาะผลิตภัณฑ์ที่ใครๆแข่งได้ยาก คือ ตู้เย็น เพราะเรามีโนว์ฮาว Local brand ก็ทำไม่ได้"กรรมการผู้จัดการ KYE กล่าว
ขณะเดียวกันบริษัทเพิ่มสินค้าที่มีมูลค่าเพิ่มที่สามารถตอบโจทย์ลูกค้าที่ต้องการความสะดวกสบายมากขึ้น ได้แก่ ตู้เย็น พัดลมเพื่อสร้างมูลค่าในตัวสินค้าสูงขึ้น
ทั้งนี้ เงินบาทที่อ่อนตัวไม่ได้กระทบกับบริษัทแม้ว่าจะทำให้ต้นทุนนำเข้าชิ้นส่วนสูงขึ้น 10% แต่โดยรวมแล้วมีผลดีกว่า KYE มีสัดส่วนส่งออกราว 70% ตลาดหลักอยู่ที่ ญี่ปุ่น นอกจากนี้ตลาดใหม่ได้แก่ ยุโรป
ปัจจุบัน บริษัทพัฒนาผลิตภัณฑ์เครื่องใช้ไฟฟ้าภายในบ้าน ภายใต้เครื่องหมายการค้า"มิตซูบิชิ อีเล็คทริค" อยู่ 5 ผลิตภัณฑ์ ได้แก่ ตู้เย็น พัดลม พัดลมระบายอากาศ ปั๊มน้ำ เครื่องเป่ามือ และแม้ไทยจะเกิดสถานการณ์การเมืองแต่ บริษัท มิตซูบิชิ อิเลคทริค คอร์ปอเรชั่น ประเทศญี่ปุ่นซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ KYE ก็ยังคงลงทุนในประเทศไทย โดยไทยถือเป็นฐานการผลิตใหญ่ที่สุด