สมาคมตลาดตราสารหนี้ไทย (ThaiBMA) สรุปภาวะตลาดตราสารหนี้ไทยวันนี้ มีมูลค่าการซื้อขายรวม 85,158 ล้านบาท โดยประเภทของตราสารที่มีมูลค่าการซื้อขายสูงที่สุด คือ พันธบัตรธนาคารแห่งประเทศไทย โดยมีมูลค่าการซื้อขายเท่ากับ 69,323 ล้านบาท หรือคิดเป็นสัดส่วน 81.4% ของมูลค่าการซื้อขายทั้งหมดที่เกิดขึ้นในวันนี้ ลำดับถัดมาคือ พันธบัตรรัฐบาล มีมูลค่าการซื้อขายเท่ากับ 9,235 ล้านบาท หรือคิดเป็นสัดส่วน 10.8% ทางด้าน หุ้นกู้เอกชน มีมูลค่าการซื้อขายเท่ากับ 338 ล้านบาท หรือคิดเป็น 0.4% ของมูลค่าการซื้อขายทั้งหมด
สำหรับ พันธบัตรรัฐบาล รุ่นที่นิยมซื้อขายสูงสุดในวันนี้คือ พันธบัตรรุ่น LB196A, LB155A และ LB236A (รุ่นอายุ 5.4 ปี, 1.3 ปี และ 9.4 ปี ตามลำดับ) โดยมีมูลค่าการซื้อขายรวมกัน 6,805 ล้านบาท หรือคิดเป็น 74% ของมูลค่าการซื้อขายพันธบัตรรัฐบาลทั้งหมด ทางด้าน หุ้นกู้เอกชน รุ่นที่นิยมซื้อขายสูงสุด 3 อันดับแรกในวันนี้ คือ
1. หุ้นกู้บริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน) (CPALL23OB) มูลค่า 205.8 ล้านบาท
2. หุ้นกู้มีประกันของบริษัท เมอร์เซเดส-เบนซ์ (ประเทศไทย) จำกัด (MBTH157A) มูลค่า 35.7 ล้านบาท
3. หุ้นกู้ของบริษัท น้ำตาลมิตรผล จำกัด (MPSC16OB) มูลค่า 32.6 ล้านบาท
โดยมีมูลค่าการซื้อขายรวมกัน 274.1 ล้านบาท หรือคิดเป็น 81.2% ของมูลค่าการซื้อขายหุ้นกู้เอกชนทั้งหมดในวันนี้
ทางด้านประเภทของนักลงทุน ที่มีมูลค่าการซื้อขายสูงที่สุดเป็น 2 อันดับแรกในวันนี้ คือ
1. กลุ่มบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) มียอดซื้อสุทธิ เท่ากับ 23,935 ล้านบาท
2. กลุ่มสถาบันการเงินที่ไม่มีใบอนุญาตเพื่อค้าตราสารหนี้ มียอดซื้อสุทธิ เท่ากับ 7,435 ล้านบาท
ในขณะที่นักลงทุนต่างชาติ มียอดซื้อสุทธิ เท่ากับ 7,028 ล้านบาท
ผลตอบแทนของพันธบัตรรัฐบาลอายุ 3 เดือน ปิดที่ 2.22% ปรับตัวลดลงจากเมื่อวาน -0.01% และผลตอบแทนของพันธบัตรรัฐบาลอายุ 5 ปี ปิดที่ 3.41% ไม่มีการเปลี่ยนแปลงจากเมื่อวาน
>>ภาพรวมของตลาดในวันนี้
Yield Curve แกว่งตัวในกรอบแคบๆ เปลี่ยนแปลงประมาณ 1-2 bps. โดยนักลงทุนบางส่วนเริ่มคลายความกังวลเกี่ยวกับประเด็นการลดขนาด QE ภายหลังตัวเลขการจ้างงานนอกภาคการเกษตรเพิ่มขึ้นน้อยกว่าคาด ส่งผลให้ Fund Flow บางส่วนไหลกลับเข้าสู่ภูมิภาคเอเชีย สำหรับด้านนักลงทุนต่างชาติ มีแรงซื้อในพันธบัตรระยะสั้น ยอดซื้อสุทธิ (NET BUY) เท่ากับ 7,028 ล้านบาท