พร้อมทั้งประมาณการรายได้ในปี 57 อยู่ที่ 832 ล้านบาท แบ่งเป็นสัดส่วนรายได้จากค่านายหน้าหลักทรัพย์และอนุพันธ์ 85% และธุรกิจวานิชธนกิจ 1% โดยอิงกับประมาณมูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันของตลาดหลักทรัพย์ อยู่ที่ประมาณ 36,000 บาท/วัน และคาดหวังว่าปีนี้จะมีกำไรที่ประมาณ 60-70 ล้านบาท ซึ่งยังต้องติดตามว่าจะได้ตามเป้าหมายหรือไม่ เนื่องจากภาวะตลาดที่ยังไม่ดีนักอาจเป็นผลให้นักลงทุนชะลอการลงทุนในช่วงนี้ออกไป
ทั้งนี้ บริษัทยังคงมุ่งเน้นการขยายฐานอย่างต่อเนื่อง ควบคู่การรักษาฐานลูกค้าปัจจุบัน รวมถึงการขยายธุรกรรม เพื่อรองรับความผันผวนในการลงทุน และยังเน้นการให้ความรู้ด้านการลงทุน และ Modern Trade เพื่อเป็นไกด์ไลน์การลงทุนของลูกค้าอนุพันธ์ โดยเชื่อว่าจากแผนการขยายตามกลยุทธ์ดังกล่าว จะส่งเสริมให้บริษัทมีความแข็งแกร่งทางธุรกิจ และตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้มากขึ้น
บริษัทตั้งเป้าขยายฐานลูกค้าเพิ่มขึ้นจากปัจจุบันมีบัญชีลูกค้าหลักทรัพย์ของบริษัททั้งลูกค้ารายย่อยและลูกค้ารายใหญ่รวมกว่า 16,000 บัญชี ซึ่งเป็นบัญชีที่มีความเคลื่อนไหวสม่ำเสมอ (Active) กว่า 50% ส่วนบัญชีที่เคลื่อนไหวต่อเดือนอยู่ที่ประมาณ 25% ของทั้งปีนอกจากนี้บริษัทมีแผนทำอินเตอร์เทรดซึ่งได้มีการพูดคุยกับบริษัทพันธมิตรต่างชาติ อาทิ มาเลเซียและสิงคโปร์ ซึ่งขณะนี้ได้มีการพูดคุยเพื่อเป็นแนวทางแต่ยังไม่ได้มีการเริ่มซื้อขายหุ้นแต่อย่างใด
ด้านนายธวัชชัย อัศวพรไชย ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการฝ่ายวิจัย บล.โกลเบล็ก กล่วว่า ผลกระทบทางด้านการเมืองทำให้นักลงทุนต่างปรับลดการลงทุนอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ไตรมาส 4 ปีที่แล้ว โดยในไตรมาส 4/56 มีปริมาณการขายสุทธิของนักลงทุนต่างชาติ จำนวน 82,293.71 ล้านบาท และทั้งปี 56 มียอดขายสุทธิ 194,701.88 ล้านบาท ซึ่งเป็นการขายทำกำไรเนื่องจากดัชนีปรับตัวลงแรง และเริ่มมีปัญหาการแก้ไขรัฐธรรมนูญ
ภาพรวมตั้งแต่ต้นปี 57 ต่างชาติมีมุมมองที่คงที่ต่อตลาดหุ้นไทย และปรับลดการลงทุนในตลาดหุ้นขนาดใหญ่ลง จึงมีโอกาสที่จะหันมามองการลงทุนในตลาดหุ้นไทยอีกครั้ง
บล.โกลเบล็ก คาดว่า นักลงทุนต่างชาติจะกลับมาซื้อหุ้นไทยเพิ่มขึ้น แต่จะไม่เข้ามาซื้อจำนวนมาก คงเป็นลักษณะทยอยเข้าซื้อจนกว่าจะมีรัฐบาลใหม่เข้ามา โดยมองดัชนีหุ้นไทยในปี 57 กรอบดัชนีระยะสั้นอยู่ที่ระดับ 1,388 จุด และระดับที่เหมาะสมอยุ่ที่ 1,561 จุด ภายใต้สมมติฐานการเติบโตกำไรสุทธิของบริษัทจดทะเบียนที่ 11%, อัตราดอกเบี้ย R/P 2.25% และอัตราการขยายตัวเศรษฐกิจปีนี้ที่ 3.5%
ทั้งนี้ บล.โกลเบล็ก แนะนำแบ่งสัดส่วนพอร์ตการลงทุน แบ่งเป็นลงทุนในหุ้นสามัญในตลาดหุ้นไทย 15% และควรซื้อเพิ่มอีก 10% ทุกครั้งเมื่อดัชนีปรับตัวลงแรง คาดว่าจะให้ผลตอบแทนสูง
นอกจากนี้แนะให้ลงทุนกองทุนหุ้นที่ลงทุนในต่างประเทศ สัดส่วน 10% ลงทุนทองคำ และ Gold Futures สัดส่วน 5% และลงทุนกองทุนตราสารหนี้ 10% ขณะที่ให้ถือเงินสดและเงินฝาก 30%
บล.โกลเบล็ก แนะนำเข้าซื้อหุ้นเด่นในปี 57 ซึ่งมองถึงสภาพคล่อง ปัจจัยพื้นฐาน อัตราผลตอบแทนเงินปันผล และมีอัพไซด์ต่อเนื่องในปีนี้ ได้แก่ กลุ่มธุรกิจน้ำม้นและก๊าซธรรมชาติ อย่าง PTTEP, กลุ่มธุรกิจถ่านหิน เช่น BANPU, กลุ่มธุรกิจปิโตรเคมี เช่น PTTGC, กลุ่มธนาคาร เช่น BBL, KBANK ,KTB , SCB และ กลุ่มอสังหาริมทรัพย์ เช่น CPN, SPALI รวมทั้งกลุ่มนิคมอุตสาหกรรม เช่น HEMRAJ