บริษัทจะทยอยรับรู้รายได้จากงานที่ค้างส่งมอบมาจากปี 56 คืองานก่อสร้างโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ ทั้งของบริษัท บางจาก โซลาร์เอ็นเนอร์ยี่ (ชัยภูมิ1) จำกัด และบริษัท บางจาก โซลาร์เอ็นเนอร์ยี่ (นครราชสีมา) จำกัด ขนาด 12.5 เมกะวัตต์ มูลค่า 700 ล้านบาท รวมทั้ง งานติดตั้งระบบไฟฟ้าโรงผลิตปูนซีเมนต์ของ บมจ.ทีพีไอ โพลีน(TPIPL) มูลค่า 367 ล้านบาท และงงานผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ที่ติดตั้งบนหลังคา(โซลาร์รูฟท็อป)มูลค่า 600-700 ล้านบาท ส่วนธุรกิจเทรดดิ้งของบริษัทคาดว่าจะมีรายได้ประมาณ 1,000 ล้านบาท
บริษัทตั้งเป้าหมายจะเพิ่มกำลังการผลิตไฟฟ้าให้เป็นไม่ต่ำกว่า 300 เมกะวัตต์ภายในปี 59 แบ่งเป็นสัดส่วนภายในประเทศ 150 เมกะวัตต์ที่เป็นพลังงานทดแทน คือ พลังงานแสงอาทิตย์และพลังงานลม ส่วนต่างประเทศ 150 เมกะวัตต์ ส่วนใหญ่จะเป็นการผลิตไฟฟ้าจากเครื่องยนต์แก๊ส
นายสมบูรณ์ กล่าวต่อว่า โครงการที่จะมีการลงทุนในระยะเวลา 1-2 ปีข้างหน้าจะแบ่งเป็นโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานลมห้วยบง กำลังการผลิต 60 เมกะวัตต์ มูลค่าโครงการประมาณ 4 พันล้านบาท ซึ่งบริษัทถือหุ้นสัดส่วน 70% คาดว่าจะเริ่มจำหน่ายไฟฟ้าเชิงพาณิชย์ได้ต้นปี 58 ส่วนโครงการโรงไฟฟ้าจากเครื่องยนต์แก๊สที่พม่านั้น อยู่ระหว่างการหาเทคโนโลยีใหม่และขอใบอนุญาต เพื่อขยายโครงการเฟส 2 อีก 25 เมกะวัตต์ ขณะเดียวกันยังได้เจรจาเพื่อเพิ่มสัดส่วนการถือหุ้นเป็น 60% จากเฟสแรกที่เข้าไปถืออยู่ 51%
"เราตั้งเป้าที่จะขยายกำลังการผลิตไฟฟ้าให้ไม่ต่ำกว่า 300 เมกะวัตต์ทั้งการผลิตไฟฟ้าภายในประเทศ และต่างประเทศ ซึ่งเราก็ขยายโครงการอย่างต่อเนื่อง โดยเตรียมขยายโครงการต่างๆอย่างต่อเนื่อง ในพม่าเราอยู่ระหว่างหาเทคโนโลยีใหม่ และเจรจาเพื่อที่จะเพิ่มสัดส่วนการถือหุ้นเป็น 60% จากที่เฟสแรกเราเข้าไปถือ 51% เราคาดว่าเราจะสามารถเริ่มก่อสร้างได้ภายในปีนี้ และจะใช้เวลาก่อสร้างราว 6 เดือน ซึ่งจะสามารถรับรู้รายได้เต็มปีในปี 58 ขณะเดียวกันเราก็ยังศึกษาที่จะขยายในเฟส 3 ต่อไป"นายสมบูรณ์ กล่าว