ในปี 57 มีแผนใช้งบลงทุน 6 พันล้านบาท ภายใต้แผนลงทุน 5 ปี (55-59) วงเงินรวม 4 หมื่นล้านบาท โดยช่วงก่อนหน้าใช้แล้ว 1.8 หมื่นล้านบาท หรือ 45% ของงบรวม 5 ปี แสดงถึงความเชื่อมั่นในแผนธุรกิจในอนาคตและเศรษฐกิจของประเทศ
ด้านนายสวัสดิ์ หอรุ่งเรือง ผู้ก่อตั้งและกรรมการบริหาร HEMRAJ กล่าวว่า ในช่วง 2-3 เดือนที่ผ่านมาซึ่งมีสถานการณ์การเมืองในประเทศวุ่นวาย แต่บริษัทมีโอกาสซื้อที่ดินเพิ่มเข้าพอร์ตได้รวม 1 หมื่นไร่ จากปัจจุบันที่บริษัทมี 7 นิคมอุตสาหกรรม จำนวนพื้นที่รวม 3.9 หมื่นไร่ โดยที่ดินใหม่ดังนั้นเป็นเตรียมพัฒนาอยู่ในภาคตะวันออก ได้แก่ ชลบุรี ระยอง และสระบุรี ซึ่งภายใต้วิกฤติการเมืองถือเป็นโอกาสของบริษัทที่สามาถซื้อที่ดินได้ราคาถูก
"ธุรกิจเหมราช ไม่ได้รับผลกระทบจากการเมือง ยืนยันลูกค้าไม่ชะลอ ภายใต้วิกฤตย่อมมีโอกาส วันนี้เหมราชได้เปรียบจึงซื้อที่ดินราคาถูกได้ เพราะทุกคนคิดว่าธุรกิจจะชะลอ" นายสวัสดิ์ กล่าว
นายเดวิด กล่าวต่อว่า บริษัทเตรียมเปิดนิคมฯเหมราชแห่งที่ 8 คลุมพื้นที่ 3,200 ไร่ บริเวณอีสเทิร์นซีบอร์ด โดย 40% ของลูกค้าเป็นกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ ซึ่งขณะนี้มีการเจรจากับลูกค้ารายใหญ่แล้ว คาดว่าจะเริ่มเปิดขายได้อย่างเป็นทางการในช่วงปลายปี 57
ส่วนนิคมอุตสาหกรรมแห่งที่ 7 ขณะนี้ขายไปได้แล้วครึ่งหนึ่ง และอยู่ระหว่างรอผลการพิจารณารายงานผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม(EIA) นอกจากนี้ บริษัทมีแผนซื้อที่ดินเพิ่ม 10,000 ไร่ในช่วง 30 เดือนนี้ ซึ่งปัจจุบัน บริษัทมีที่ดินเพื่อพัฒนาเป็นพื้นที่ขายแล้ว 7,500 ไร่ ราว 70% ส่วนใหญ่อยู่ในอีสเทิร์นซีบอร์ด และมีแผนจะซื้อที่ดินเพิ่มเติมอย่างต่อเนื่อง
อย่างไรก็ตาม บริษัทยอมรับว่าในปีนี้รายได้รวมคงจะเติบโตจากปี 56 ไม่ถึง 10% หรือเติบโตเป็นตัวเลขหลักเดียว เนื่องจากเมื่อปีก่อนฐานรายได้ใหญ่เพราะมีรายการพิเศษขายสินทรัพย์เข้ากองทุนอสังหาริมทรัพย์ แต่ปีนี้ไม่มีรายการพิเศษดังกล่าว อย่างไรก็ตาม ยอดขายที่ดินปีนี้ที่ตั้ง 1,600 ไร่ เป็นการตั้งแบบอนุรักษ์นิยม(conservative)ครึ่งปีหลังอาจจะมีการพิจารณาปรับอีกคร้งเหมือนในปีที่ผ่านมาที่ในช่วงต้นปีตั้งเป้าไว้ค่อนข้างต่ำจากนั้นก็ปรับไปตามสถานการณ์ จนยอดขายปี 56 จบที่ 2,200 ไร่ ภายใต้ 101 สัญญา
สำหรับงบลงทุนปีนี้ 6,000 ล้านบาท แบ่งเป็น 40% ขยายการพัฒนาที่ดินเพื่ออุตสาหกรรม 20% ค่าก่อสร้างนิคมฯ 20% เพื่อธุรกิจน้ำ แวร์เฮ้าส์ โรงงานให้เช่า โดยเม็ดเงินจะมาจากรายได้จากการขายที่ดิน รายได้จากบริการสาธารณูปโภค รายได้จากธุรกิจให้เช่า ขณะที่โครงสร้างทางการเงินของบริษัทยังแข็งแกร่งมากหลังจากขายสินทรัพย์เข้ากองทุนอสังหาฯ มูลค่า 4,700 ล้านบาท ส่งผลให้สัดส่วนหนี้สินต่อทุน(D/E)ต่ำกว่า 1:1 ยังมีช่องทางที่จะสนับสนุนให้เติบโตต่อไปได้
นายเดวิด กล่าวว่า จากสถานการณ์การเมืองในประเทศส่งผลให้นักลงทุนต่างชาติชะลอการตัดสินใจที่จะเข้ามาซื้อที่ดินราว 10-20% ของลูกค้าใหม่ ถือว่ากระทบแค่เล็กน้อยสำหรับนักลงทุนที่ไม่คุ้นเคยกับประเทศไทยที่จะใช้เวลาพิจารณาและตัดสินใจนานขึ้น แต่ก็สุดท้ายก็เชื่อว่ายังมองไทยเป็นทำเลที่น่าสนใจสำหรับตั้งฐานการผลิต และสถานการณ์ทางการเมืองจะกระทบแค่ช่วงสั้นเท่านั้น
"เชื่อว่าปี 57 เป็นปีที่ดีของบริษัท มั่นใจว่าจะเติบโตได้ตามแผนงานจากนี้ไปใน 5 ปีข้างหน้า การเมืองได้รับกระทบเล็กน้อยเพราะธุรกิจที่ต้องเข้ามาลงทุนต่อเนื่องเข้าใจ ข่าวจากสื่อต่างประเทศดูแย่กว่าความจริง แต่บริษัทก็มีการบริหารความเสี่ยง มีการจัดการด้านการเงินการคลัง อย่างการออกกองอสังหาฯ ปลายปีก็เป็นไปตามแผน มีธุรกิจหลากหลาย ทั้งสาธารณูปโภค ธุรกิจให้เช่า ถ้ากระทบธุรกิจใดธุรกิจหนึ่ง แต่ธุรกิจอื่นทดแทนได้"นายเดวิด กล่าว
ทั้งนี้ ลูกค้าหลักยังเป็นกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ 35% ในจำนวนนี้ส่วนใหญ่เป็นลูกค้าญี่ปุ่น นิคมฯยังคงเป็นธุรกิจหลักที่สร้างรายได้แก่บริษัท 45% ส่วนธุรกิจสาธารณูปโภค ทั้งน้ำดิบ น้ำประปาเพื่ออุตสาหกรรม ตั้งเป้ารายได้เติบโต 14% ต่อปี ช่วงใน 5 ปีข้างหน้า คาดว่าจะมีปริมาณการใช้น้ำสูงถึง 270,000 ลูกบาศก์เมตร/วันในปี 57 และจะเติบโตขึ้นปีละ 14% ไปจนถึงปี 61 ซึ่งจะสร้างรายได้ราว 2,000 ล้านบาทในปี 58 และ 2,500 ล้านบาทในปี 61
บริษัทคาดว่าจะมีพื้นที่ให้เช่าโรงงานสำเร็จรูปเพิ่มขึ้น 30% ในปีนี้ จากปีก่อนขยายตัว 25% หรือเพิ่มขึ้นราว 8-9 หมื่นตร.ม.เทียบจากปี 56 จากพื้นที่เช่าทั้งหมด 2.97 แสนตร.ม.ส่วนพื้นที่คลังสินค้าให้เช่าคาดว่าจะเพิ่มขึ้นอีกราว 4-5 หมื่นตร.ม. ทั้ง 2 ส่วนจะเป็นแหล่งรายได้ระยะยาวของบริษัท