สำหรับพันธบัตรรัฐบาล รุ่นที่มีปริมาณการซื้อขายสูงที่สุด 3 อันดับแรกคือรุ่น LB176A (อายุ 3.4 ปี) LB196A (อายุ 5.4 ปี) และ LB155A (อายุ 1.3 ปี) โดยมีมูลค่าการซื้อขายในแต่ละรุ่นเท่ากับ 28,318 ล้านบาท 16,523 ล้านบาท และ 15,860 ล้านบาท ตามลำดับ ส่วนพันธบัตรที่ออกโดยธนาคารแห่งประเทศไทย รุ่นที่มีปริมาณซื้อขายสูงสุด 3 อันดับแรก คือรุ่น CB14424B (อายุ 91 วัน) CB14211A (อายุ 14 วัน) และ CB14724A (อายุ 182 วัน) มูลค่าการซื้อขายเท่ากับ 34,838 ล้านบาท 20,498 ล้านบาท และ 17,435 ล้านบาท ตามลำดับ
ขณะที่หุ้นกู้ภาคเอกชน ที่มีปริมาณการซื้อขายสูงที่สุด 3 อันดับแรก ได้แก่ หุ้นกู้ของบริษัท โกลว์ พลังงาน จำกัด (มหาชน) รุ่น GLOW194A (A) มูลค่าการซื้อขาย 850 ล้านบาท หุ้นกู้ของบริษัท โตโยต้า ลีสซิ่ง (ประเทศไทย) จำกัด รุ่น TLT14DA (AAA) มูลค่าการซื้อขาย 657 ล้านบาท และหุ้นกู้ของบริษัทปูนซิเมนต์ไทย จำกัด (มหาชน) รุ่น SCC19OA (A) มูลค่าการซื้อขาย 617 ล้านบาท
เส้นอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาล (Yield Curve) เคลื่อนไหวอยู่ในกรอบแคบๆ หรือปรับตัวเพิ่มขึ้น / ลดลงในช่วงประมาณ -3 ถึง +1 Basis Point (100 Basis Point มีค่าเท่ากับ 1%) ทั้งนี้ นักลงทุนต่างชาติได้กลับมาซื้อสุทธิในตลาดตราสารหนี้ไทยอีกครั้ง หลังจากขายสุทธิมาอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ต้นปี โดยประเด็นที่นักลงทุนให้ความสนใจและส่งผลกระทบต่อตลาดตราสารหนี้ไทยในช่วง 1 สัปดาห์ที่ผ่านมา ได้แก่ ผลการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ครั้งแรกของปีนี้ ซึ่งมีมติ 4 ต่อ 3 เสียง ให้คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ 2.25% ตามเดิม เนื่องจากเห็นว่าอัตราดอกเบี้ยในปัจจุบันยังเหมาะสมกับภาวะเศรษฐกิจ โดยปัจจัยการเมืองน่าจะส่งผลกระทบต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยในระยะสั้นเท่านั้น ส่วนเศรษฐกิจโลกยังคงมีแนวโน้มฟื้นตัวอย่างต่อเนื่องทั้งสหรัฐฯ ยุโรป และจีน ด้วยมุมมองเชิงบวกของ กนง. ต่อสภาพเศรษฐกิจไทย บวกกับอัตราผลตอบแทนของพันธบัตรที่ปรับตัวลดลงไปในช่วงก่อนหน้านี้ จากการคาดการณ์ว่าจะมีการลดดอกเบี้ยนโยบาย ทำให้มีแรงขายในตลาดตราสารหนี้หลังผลการประชุมของ กนง. อย่างไรก็ตาม จากการประกาศใช้ พ.ร.ก. ฉุกเฉินในเขตกรุงเทพฯ ของรัฐบาล ซึ่งกดดันให้ตลาดมีความกังวลว่าอาจจะทำให้เกิดความรุนแรงทางการเมืองเพิ่มมากขึ้น ส่งผลให้มีแรงซื้อเข้ามาในตลาดตราสารหนี้เช่นกัน เพื่อลดความเสี่ยงจากราคาสินทรัพย์ประเภทอื่นๆ ที่ค่อนข้างผันผวน และด้วยแรงซื้อสลับกับแรงขายนี้เอง อัตราผลตอบแทนของพันธบัตรจึงเคลื่อนไหวอยู่ในกรอบแคบๆ ตลอดทั้งสัปดาห์
ในสัปดาห์นี้นักลงทุนต่างชาติมียอด ซื้อสุทธิ ในตราสารหนี้ทุกประเภท (ทั้งระยะสั้น และระยะยาว) รวมกัน 3,411 ล้านบาท โดยแบ่งเป็นการซื้อสุทธิในตราสารหนี้ระยะยาว 437 ล้านบาท และ ซื้อสุทธิในตราสารหนี้ระยะสั้น (อายุคงเหลือน้อยกว่า 1 ปี) 2,975 ล้านบาท ทางด้านนักลงทุนรายย่อยมียอดซื้อสุทธิ 698 ล้านบาท