ในปีนี้บริษัทตั้งงบลงทุนไว้ราว 5 หมื่นล้านบาท เพื่อใช้ในการลงทุนต่อเนื่องในโครงการเดิม และการลงทุนปิโตรเคมีคอมเพล็กซ์ในเวียดนาม ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างมอบหมายให้ที่ปรึกษาทางการเงินหาแหล่งเงินทุน คาดว่าจะได้ข้อสรุปในช่วงสิ้นปี 57 รวมทั้งอยู่ระหว่างการขอรับการส่งเสริมการลงทุนให้กับโรงงานปิโตรเคมีเพื่อผลิตสินค้ามูลค่าเพิ่มสูงขึ้น คาดว่าจะใช้เงินลงทุนโรงละ 100 ล้านเหรียญดอลลาร์สหรัฐ
สำหรับสถานการณ์การเมืองในขณะนี้ ในระยะสั้นยังไม่มีผลกระทบต่อปริมาณการจำหน่ายปูน โดยช่วง 3 สัปดาห์แรกของปี 57 ปริมาณการจำหน่ายยังสามารถเติบโตได้ราว 1-2% เนื่องจากโครงการที่ได้เริ่มไปก่อนหน้านี้ก็ยังต้องเดินหน้าต่อไป เช่น โครงการรถไฟฟ้าสายต่างๆ แต่อย่างไรก็ตาม ระยะยาวหากสถานการณ์ทางการเมืองยังไม่สามารถหาทางออกได้เชื่อว่าจะได้รับผลกระทบต่อปริมาณการใช้ปูนในประเทศ เพราะโครงการลงทุนต่างๆ ในด้านโครงสร้างพื้นฐานของภาครัฐยังไม่สามารถเริ่มได้ รวมถึงโครงการของภาคเอกชนก็อาจจะมีการชะลอตัวลงตามไปด้วย
ดังนั้น จากที่บริษัทเคยวางแผนงานที่จะลดการส่งออกลงจากปีที่ผ่านมามีปริมาณการส่งออกทั้งหมด 4 ล้านตันเพื่อมารองรับการเติบโตของปริมาณการใช้ปูนในโครงการลงทุนต่างๆ ทั้งของภาครัฐและเอกชนนั้น หลังจากสถานการณ์ทางการเมืองเกิดความขัดแย้งขึ้น ส่งผลให้แนวโน้มการลงทุนของทั้งภาครัฐและเอกชนอาจจะต้องชะลอไป บริษัทฯจึงอาจจะต้องปรับแผนด้วยการคงปริมาณการส่งออกไว้ที่ 4 ล้านตัน/ปีก่อน
ส่วนการเกิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC) นั้น นายกานต์ กล่าวว่า เศรษฐกิจของ AEC มีการเติบโตขึ้นได้ค่อนข้างดี บริษัทจึงคาดว่ารายได้ที่มาจาก AEC จะเติบโตขึ้นไม่ต่ำกว่า 20% ซึ่งจะส่งผลให้มีสัดส่วนรายได้จากกลุ่ม AEC เพิ่มขึ้นเป็น 10% จากปีที่ผ่านมาอยู่ที่ 9%