ขณะที่ปัจจัยพื้นฐานเป็นแบงก์ที่มีโครงสร้างรายได้ค่อนข้างดี พึงรายได้ดอกเบี้ยไม่มาก ทำให้รายได้ไม่ผันผวน และผลกำไรปีนี้ยังเติบโตอย่างต่อเนื่อง แม้ว่าปีนี้ธุรกิจแบงก์จะได้รับผลกระทบจากเศรษฐกิจไทยที่อาจชะลอตัวอันเนื่องมาจากความยืดเยื้อของปัญหาทางการเมือง
ปีนี้คาดสินเชื่อโตราว 8% ลดลงจากปีที่แล้วที่สินเชื่อโต 8.5% และคาดว่าปีนี้จะเน้นหารายได้ที่ไม่ใช่ดอกเบี้ย ส่วน NPL ยังอยู่ในระดับต่ำและทางแบงก์ยังสามารถจัดการได้ พร้อมคาดกำไรสุทธิปีนี้ในช่วง 44,000-45,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีที่แล้วที่มีกำไรสุทธิ 41,325 ล้านบาท เติบโต 17% จากปี 55
โบรกเกอร์ คำแนะนำ ราคาเป้าหมาย (บาท/หุ้น) บล.ซีไอเอ็มบี ซื้อ 230.00 บล.ทรีนีตี้ ซื้อ 221.00 บล.ไทยพาณิชย์ ซื้อ 214.00 บล.ฟิลลิป(ประเทศไทย) ซื้อ 213.00 บล.ดีบีเอส วิคเคอร์สฯ ซื้อ 213.00 บล.กรุงศรี ซื้อ 212.00
นายธนเดช รังษีธนานนท์ ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.กรุงศรี กล่าวว่า ราคาหุ้น KBANK ตอนนี้ถือว่าถูกสุดในรอบ 6 ปี นับตั้งแต่ปี 2009 เป็นต้นมา ทำให้มีความสนใจที่จะเข้าลงทุน เนื่องจากปัจจัยพื้นฐานของ KBNAK ยังดีและไม่เปลี่ยนแปลงอะไร แม้ว่าปีนี้ธุรกิจแบงก์จะได้รับผลกระทบจากเศรษฐกิจที่อาจจะชะลอตัว แต่ KBANK ก็ยังมีการเติบโตกำไรอย่างต่อเนื่อง แม้ว่าปีนี้(2557)กำไรจะโตชะลอ เนื่องจากมีฐานกำไรสูง
ปีนี้(2557)คาดว่าสินเชื่อของ KBANK จะโตประมาณ 8% ลดลงจากปีที่แล้ว(2556)ที่สินเชื่อโต 8.5% และคาดว่ารายได้ที่ไม่ใช่ดอกเบี้ยก็คงจะเติบโตลดลง ทั้งนี้เป็นผลจากความยืดเยื้อทางการเมืองที่ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจ และไม่รู้ว่าจะนานแค่ไหน ส่วนหนี้เสียของ KBANK ก็ยังไม่แย่อะไร แม้ว่าอาจจะเพิ่มขึ้นแต่ก็ยังอยู่ในระดับที่ทางแบงก์จะจัดการได้
พร้อมคาดการณ์กำไรสุทธิปีนี้(2557)ไว้ที่ 44,800 ล้านบาท เติบโต 8.4% จากปีที่แล้ว(2556)ที่มีกำไรสุทธิ 41,325 ล้านบาท เติบโต 17% จากปี 2555
ด้านนายอดิศร มุ่งพาลชล รองผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ฟิลลิป(ประเทศไทย) ให้เหตุผลแนะ"ซื้อ"หุ้น KBANK ว่า เป็นแบงก์ที่มีโครงสร้างรายได้ค่อนข้างดี โดยพึ่งรายได้ที่มาจากดอกเบี้ยไม่มากเท่าไร ทำให้รายได้ของ KBANK ไม่ผันผวน ซึ่งมองว่ามีจุดเด่นจากรายได้จากค่าธรรมเนียมและรายได้ที่ไม่ใช่ดอกเบี้ยที่มีเติบโตที่ดี
ทั้งนี้ ปีนี้(2557)KBANK คงจะปล่อยสินเชื่อไม่เติบโตมากนัก โดยคาดว่าสินเชื่อปีนี้จะเติบโตประมาณ 8% จากปีที่แล้ว(2556)ที่สินเชื่อโตประมาณ 9% ซึ่งการโตชะลอเป็นผลจากปัจจัยการเมืองเป็นหลัก ที่ทำให้เศรษฐกิจไทยไม่โตอย่างที่คาดการณ์ไว้ ในส่วนของ NPL ของ KBANK ก็ทรงตัวที่ 2% ซึ่งก็ถือว่ายังต่ำอยู่เมื่อเทียบกับแบงก์อื่นในกลุ่ม และทาง KBANK ก็มองเป้าหมายที่จะรักษาให้อยู่ในระดับเดิม
นอกจากนี้ หากมองในแง่ของราคาหุ้น KBANK ในปัจจุบันถือว่ายังถูกอยู่ เมื่อเทียบกับปัจจัยพื้นฐานที่ยังดีอยู่ พร้อมคาดการณ์กำไรสุทธิปีนี้(2557)ไว้ที่ 44,000 ล้านบาท เติบโต 11% จากปีที่แล้ว(2556)ที่มีกำไรสุทธิ 41,000 ล้านบาท เติบโต 17% จากปี 2555
ส่วนนักวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ทรีนีตี้ กล่าวว่า ปีนี้(2557)KBANK คงจะมีการเติบโตสินเชื่อที่ชะลอตัวในปีนี้เหลือ 8% จากปีที่แล้วที่สินเชื่อโต 8.5% เนื่องจากผลกระทบปัจจัยการเมืองในประเทศที่กระทบต่อเศรษฐกิจไทย ทั้งในภาคธุรกิจที่มีการชะลอการลงทุน ส่วนในภาคครัวเรือน ขณะนี้หนี้ก็ค่อนข้างจะตึง ทำให้การบริโภคก็คงจะน้อยลง ดังนั้น KBANK ปีนี้คงจะเน้นรายได้จากค่าธรรมเนียมมากขึ้น
อย่างไรก็ดี การลงทุนในแบงก์ขนาดใหญ่ก็คงจะปลอดภัยกว่าแบงก์ขนาดเล็ก และราคาหุ้น KBANK ในปัจจุบันก็ถือว่าถูกเมื่อเทียบกับปัจจัยพื้นฐานที่ยังดีอยู่ และยังถูกเมื่อเทียบกับ P/BV. ย้อนหลัง 5 ปี เพียงแต่ระยะสั้นมีความเสี่ยงจาก GDP ไทยที่อาจจะถูกปรับลดเครดิต(downgrade)ได้อีก
พร้อมคาดการณ์กำไรสุทธิปีนี้(2557)ไว้ที่ 45,000 ล้านบาท เติบโต 8.7% จากปีที่แล้ว(2556)ที่มีกำไรสุทธิ 41,000 ล้านบาท