LVT คาดได้เงินเพิ่มทุน 350 ลบ.ลงทุนโรงปูนในพม่า สร้างผลกำไรระยะยาว

ข่าวหุ้น-การเงิน Monday February 3, 2014 14:28 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นายวิชัย ตันติกุลานันท์ กรรมการผู้จัดการ บมจ.แอล.วี.เทคโนโลยี(LVT)เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทฯ เมื่อวันที่ 31 ม.ค.57 ได้มีมติจัดสรรหุ้นสามัญเพิ่มทุน 807,677,462 หุ้น มูลค่าหุ้นที่ตราไว้หุ้นละ 1 บาท โดยจัดสรรให้แก่ผู้ถือหุ้นเดิมไม่เกิน 538,451,641 หุ้น ในอัตรา 1.28 หุ้นเดิมต่อ 1 หุ้นใหม่ ในราคาหุ้นละ 0.65 บาท ซึ่งจะได้เงินจากการเพิ่มทุนก้อนนี้จำนวน 350 ล้านบาท นอกจากนี้ ที่เหลืออีก 269,225,821 หุ้น จะถูกจัดสรรให้แก่ผู้ซื้อหุ้นเพิ่มทุนในอัตรา 2 หุ้นใหม่ ต่อ 1 วอแรนท์ ซึ่งกำหนดราคาใช้สิทธิแปลงสภาพ LVT-W4 ในราคา 1 บาท ภายในระยะเวลา 4 ปี โดยกำหนดรายชื่อผู้ถือหุ้นที่มีสิทธิจองซื้อหุ้นสามัญเพิ่มทุน (Record Date) ในวันที่ 18 มีนาคม 2557

ทั้งนี้ เงินเพิ่มทุนจะนำไปลงทุนในโรงปูนซีเมนต์ในประเทศพม่า ซึ่งถือเป็นอุตสาหกรรมที่มีศักยภาพการเติบโตสูง โดยเป็นการร่วมทุนกับ MAX Manufacturing ซึ่งเป็นกลุ่มบริษัทยักษ์ใหญ่ปูนซีเมนต์ในพม่า ทำให้ LVT เป็นหุ้นส่วนในโรงปูนซีเมนต์ ที่อยู่ใกล้เคียงกับกรุงเนปิดอว์ เมืองหลวงแห่งใหม่ของพม่า โดยจะเป็นสินทรัพย์ถาวรที่สร้างรายได้และกำไรอย่างต่อเนื่องให้กับ LVT ในระยะยาว

การเพิ่มทุนครั้งนี้สืบเนื่องจากมติที่ประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้นครั้งที่ 1/56 ที่เสนอให้ขายหุ้นเพิ่มทุนแบบเฉพาะเจาะจง (PP) จำนวน 51,000,000 หุ้น ในราคาหุ้นละ 1.25 บาท แต่ไม่สามารถขายหุ้นเพิ่มทุนดังกล่าว เนื่องจากราคาหุ้นได้ตกต่ำตามสภาพตลาด อันสืบเนื่องจากวิกฤติการณ์ทางการเมือง ทำให้ราคาหุ้นในตลาดต่ำกว่าราคาที่เสนอขาย ตลอดจนใบสำคัญแสดงสิทธิ LVT-W3 ซึ่งได้รับอนุมัติจากการประชุมครั้งเดียวกันนั้น มีจำนวนเหลือมากกว่า 172 ล้านหน่วย และจะหมดอายุลงในวันที่ 14 ก.พ.57 คาดว่าจะไม่มีการใช้สิทธิเพิ่มเติมจากสาเหตุเดียวกัน ส่งผลให้การเพิ่มทุนครั้งดังกล่าว ไม่ได้รับเงินตามที่คาดการณ์ไว้

ดังนั้น จึงต้องขอความเห็นชอบจากที่ประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้นครั้งที่ 1/57 ที่กำหนดจัดในวันที่ 11 มี.ค.57 โดยได้กำหนดวาระการประชุมเพื่อพิจารณาอนุมัติลดทุนจดทะเบียนของบริษัทฯ จาก 915,230,874 บาท เป็น 864,230,874 บาท โดยตัดหุ้นสามัญจดทะเบียนที่ยังไม่ได้ออกจำหน่ายจำนวน 51,000,000 หุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 1 บาท พร้อมมีมติให้เพิ่มทุนจดทะเบียนของบริษัทฯ อีกจำนวน 807,677,462 บาท โดยการออกหุ้นสามัญสามัญจำนวน 807,677,462 หุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 1 บาท จาก 864,667,462 บาท เป็นทุนจดทะเบียนใหม่จำนวน 1,671,908,336 บาท โดยหุ้นสามัญเพิ่มทุน 807,677,462 หุ้น จะแบ่งเป็น 2 ส่วน โดยส่วนแรกจำนวน 538,451,641 หุ้น จัดสรรให้แก่ผู้ถือหุ้นเดิมใช้สิทธิซื้อหุ้นเพิ่มทุนในอัตรา 1.28 หุ้นเดิมต่อ 1 หุ้นใหม่ ในราคาหุ้นละ 0.65 บาท และอีกจำนวน 269,225,821 หุ้น สำหรับรองรับการแปลงสภาพใบสำคัญแสดงสิทธิ LVT-W4 ในราคา 1 บาท ภายในเวลา 4 ปี

บริษัทฯ หวังเป็นอย่างยิ่งว่าจะได้รับการสนับสนุนจากผู้ถือหุ้นในการให้ความเห็นชอบการเพิ่มทุนครั้งนี้ เนื่องจากเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญอันจะนำไปสู่การสร้างสินทรัพย์ถาวร ซึ่งจะสร้างรายได้และกำไรต่อเนื่องในระยะยาวจากอุตสาหกรรมปูนซีเมนต์ในประเทศพม่า ที่กำลังบูมเต็มที่และมีความต้องการใช้ปูนอีกจำนวนมาก

"ที่จริงเราได้เตรียมการเข้าไปลงทุนในพม่าไว้แล้ว จากมติที่ประชุมผู้ถือหุ้นเมื่อต้นปี 56 ในการขายหุ้นเพิ่มทุนแบบเฉพาะเจาะจง(PP)และการแปลงสภาพวอแรนท์ LVT-W3 แต่จากสภาวะตลาดที่ไม่เอื้ออำนวย การเพิ่มทุนครั้งดังกล่าวจึงไม่สำเร็จ"นายวิชัย กล่าว

ทั้งนี้ บริษัทฯ จึงมีความจำเป็นในการขอความเห็นชอบผู้ถือหุ้นใหม่อีกครั้งหนึ่ง โดยเงินจำนวน 350 ล้านบาทที่ระดมจากการเพิ่มทุน(RO)ส่วนหนึ่งหรือ 265 ล้านบาท จะนำไปลงทุนในบริษัท Ceminter Pte.Ltd โดยเป็นบริษัทย่อยของ LVT ซึ่งบริษัทได้ลงทุนไปแล้วก่อนหน้านี้เป็นจำนวน 176 ล้านบาท และส่งผลให้ LVT เป็นผู้ถือหุ้นใน Ceminter Pte.Ltd รวมทั้งสิ้นคิดเป็นร้อยละ 51 โดยบริษัทดังกล่าว จะเข้าไปถือหุ้นร้อยละ 30 ในบริษัท Max Manufacturing ซึ่งเป็นบริษัทฯ จดทะเบียนในพม่าที่ดำเนินธุรกิจผลิตและจำหน่ายซีเมนต์ โดยมีกำลังการผลิต 1,500 ตันต่อวัน และปัจจุบันอยู่ระหว่างการปรับปรุงโรงงานผลิตซีเมนต์แห่งใหม่ที่คาดว่าจะแล้วเสร็จภายในปี 57 ส่วนที่เหลืออีก 85 ล้านบาท จากเงินเพิ่มทุนในครั้งนี้ จะนำไปใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในการดำเนินธุรกิจบริษัท

การร่วมทุนกับ MAX Manufacturing ครั้งนี้ ถือเป็นก้าวสำคัญเนื่องจากเป็นการเปิดศักราชใหม่ของการทำธุรกิจ LVT จากเดิมที่มีรายได้หลักจากการเป็นที่ปรึกษาและให้บริการด้านวิศวกรรม โดยต้องหางานใหม่ๆ เข้ามาป้อนตลอดเวลา แต่หลังจากที่บริษัทฯ เข้าไปมีส่วนในการสร้างสินทรัพย์ถาวรในรูปโรงปูนซีเมนต์ ซึ่งสามารถสร้างรายได้และกำไรที่ต่อเนื่องในระยะยาว โดยคาดว่าบริษัทฯ จะได้รับเงินปันผลของบริษัท Ceminter Ptd Ltd. ได้ภายในปี 2560

ปัจจุบันในประเทศพม่ามีกำลังผลิตปูนซีเมนต์รวมกันประมาณ 2.2 ล้านตันต่อปี ในขณะที่ความต้องการใช้ปูนซีเมนต์ประมาณ 6.5 ล้านตันต่อปี ทำให้มีส่วนต่างประมาณ 4.3 ล้านตันต่อปี ซึ่งต้องนำเข้าโดยประมาณ 60% จากไทย และอีก 40% จากอินเดียและเวียดนาม โดยในปี 57 จะมีกำลังการผลิตในพม่าเพิ่มขึ้นอีก 1.5 ล้านตันทั้งจากโรงงานใหม่และการปรับปรุงโรงงานเก่า และจะเพิ่มขึ้นอีก 1 ล้านตันในปี 58 ขณะที่อัตราการเติบโตของความต้องการเพิ่มขึ้นประมาณ 15% ต่อปี


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ