ในปีนี้บริษัทยังคงให้ความสำคัญกับการปล่อยสินเชื่อเช่าซื้อและลีสซิ่งรถยนต์นั่งส่วนบุคคลเป็นหลัก ขณะเดียวกันบริษัทมีเป้าหมายขยายฐานลูกค้าในกลุ่มรถมอเตอร์ไซค์ขนาดใหญ่ หรือบิ๊กไบค์ รถกระบะ รวมทั้ง กลุ่มลูกค้ารถบรรทุกรายย่อยเพิ่มมากขึ้น รวมทั้ง คาดว่าสินเชื่อรถช่วยได้กสิกรไทย จะมีแนวโน้นเติบโตเพิ่มขึ้นตามความต้องการของตลาด
ทิศทางธุรกิจสินเชื่อเช่าซื้อรถปี 57 คาดว่ายอดคงค้างสินเชื่อเพื่อเช่าซื้อรถในระบบธนาคารพาณิชย์ชะลอตัวต่อจากปี 56 โดยขึ้นอยู่กับโอกาสการเติบโตของเศรษฐกิจ ซึ่งมีส่วนกำหนดความเชื่อมั่นและการใช้จ่ายของผู้บริโภค คาดว่าปี 57 การขยายตัวของสินเชื่อเช่าซื้ออาจชะลอตัวลงมาอยู่ที่ 10%
นอกจากนี้ ความเสี่ยงจากปัญหาหนี้ไม่ก่อให้เกิดรายได้ที่มีทิศทางเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญตั้งแต่ปี 56 ประกอบกับ ภาวะหนี้ครัวเรือนที่สูงและเศรษฐกิจมีความไม่แน่นอน ทำให้บริษัทลีสซิ่งต่างให้ความสำคัญกับคุณภาพลูกค้าควบคู่ไปกับการขยายฐานธุรกิจ จึงคาดว่าในปี 57 จะไม่เห็นการแข่งขันในเรื่องราคาที่รุนแรงหรือการเพิ่มสัดส่วนวงเงินสินเชื่อ ขณะที่ผู้ประกอบการรายย่อยอาจยังจำเป็นที่ต้องเลี่ยงไปจับตลาดเช่าซื้อสินค้าประเภทอื่นที่มีการแข่งขันน้อยกว่าแทน
ด้านธุรกิจสินเชื่อรถแลกเงิน ซึ่งมีทิศทางชะลอตัวค่อนข้างแรงในปี 56 น่าจะปรับตัวในทิศทางที่ดีขึ้นได้ในปี 57 ส่วนหนึ่งเป็นผลจากฐานต่ำในปีก่อน และอีกส่วนมาจากความต้องการสินเชื่อรายย่อยยังคงมีอยู่ ประกอบกับ การแข่งขันระหว่างผู้ให้บริการในปีนี้น่าจะหันมารุกตลาดนี้เพิ่มขึ้น เนื่องจากเป็นสินเชื่อที่ให้ผลตอบแทนดี ใกล้เคียงกับสินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์มือสองภายใต้ความเสี่ยงที่บริหารจัดการด้วยการจำกัดอายุรถไม่เกินประมาณ 12 ปีแล้ว และมีปัจจัยหนุนจากมูลค่ารถใช้แล้วที่น่าจะแตะระดับต่ำสุดไปแล้วในปีที่ผ่านมา อีกทั้งยังเป็นการขยายฐานลูกค้าออกไป โดยไม่ต้องพึ่งพิงตลาดรถใหม่ที่อยู่ในสภาพชะลอตัวเพียงอย่างเดียว
ผลการดำเนินงานของบริษัทในปี 56 อยู่ในทิศทางเดียวกับตลาดรถยนต์ที่มียอดขายรวมลดลง เนื่องจากได้รับผลกระทบจากโครงการรถยนต์คันแรก และปัญหาทางการเมืองในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล โดยลีสซิ่งกสิกรไทยสามารถปล่อยสินเชื่อเช่าซื้อใหม่และลีสซิ่งรถยนต์ได้รวม 74,748 ล้านบาท ลดลงจากปี 55 ประมาณ 14.10% แบ่งเป็นสินเชื่อเช่าซื้อและลีสซิ่งรถยนต์ใหม่ (HP&FL) 39,259 ล้านบาท ลดลง 5.18% และสินเชื่อผู้แทนจำหน่ายรถยนต์ (Floorplan) 35,489 ล้านบาท ลดลง 22.19%
ด้านยอดสินเชื่อคงค้างในระบบ(Outstanding Loan)ของบริษัทอยู่ที่ 89,220 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีที่แล้ว 7.67% และสินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้(NPL)อยู่ที่ 0.86% ส่งผลให้ปี 56 หลังจากหักการตั้งสำรองพิเศษเพื่อรองรับความผันผวนของสภาวะเศรษฐกิจที่เป็นอยู่ในปัจจุบันและอาจเป็นผลกระทบต่อลูกค้าได้ในอนาคต ยังผลให้บริษัทมีกำไรสุทธิ 472 ล้านบาท(รวมกำไรสุทธิของบริษัท โพรเกรส มัลติ อินชัวรันส์ โบรกเกอร์ จำกัด บริษัทของบริษัท ลีสซิ่งกสิกรไทย จำกัด)เพิ่มขึ้นจากปี 55 ราว 1.07%
แม้สภาพตลาดรถยนต์โดยทั่วไปจะถดถอย แต่ตลาดรถจักรยานยนต์ขนาดใหญ่หรือบิ๊กไบค์ยังมีโอกาสเติบโตขึ้นอีก โดยในปี 56 ยอดจดทะเบียนรถจักรยานยนต์ขนาดเครื่องยนต์สูงกว่า 151 ซีซี อยู่ที่ตัวเลข 69,787 คัน เพิ่มขึ้น 45.5% จากปี 55 ที่มียอดจดทะเบียน 47,960 คัน โดยปัจจัยที่เป็นแรงผลักสำคัญทำให้ตลาดบิ๊กไบค์ยังขยายไปได้อย่างต่อเนื่อง คือ กลุ่มผู้ซื้อหลักเป็นกลุ่มที่มีฐานะมั่นคงระดับหนึ่ง ทำให้ได้รับผลกระทบจากปัญหาด้านการเงินน้อยกว่า ขณะเดียวกันการลงทุนผลิตบิ๊กไบค์ในประเทศที่เพิ่มขึ้นจาก ทั้งญี่ปุ่น จีน และยุโรป ที่ทยอยเข้ามาตั้งแต่ปี 55 ทำให้ราคาขายบิ๊กไบค์ถูกลง ส่งผลให้กลุ่มผู้ซื้อขยายฐานออกไปกว้างมากขึ้น แต่ในช่วงไตรมาสที่ 1/57 ยังเป็นช่วงที่อาจได้รับผลกระทบจากปัญหาการเมือง ที่มีการชุมนุมกันในพื้นที่กรุงเทพฯชั้นใน ทำให้อารมณ์การจับจ่ายใช้สอยของผู้บริโภคในหมวดยานยนต์อาจได้รับผลกระทบบ้าง
ด้านภาพรวมตลาดรถยนต์ในประเทศปี 56 ศูนย์วิจัยกสิกรไทยคาดว่าจะมียอดขายอยู่ที่ประมาณ 1.32 ล้านคัน หรือหดตัวประมาณ 7% จากปี 55 ที่ทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ประมาณ 1.43 ล้านคันในปี 56 ยอดขายรถยนต์นั่งหดตัวประมาณ 4% ส่วนรถเพื่อการพาณิชย์หดตัวประมาณ 11% เนื่องจากผลของอุปสงค์ที่ถูกดึงไปใช้ล่วงหน้าจากโครงการรถยนต์คันแรก และฐานยอดขายที่ยังสูงมากในช่วงครึ่งแรกของปี 56 โดยเฉพาะหากพิจารณาในช่วงไตรมาสที่ 1/57 นี้ คาดว่าตลาดน่าจะยังคงอยู่ในภาวะซบเซาต่อเนื่องมาจากปลายปีที่แล้ว
โดยเฉพาะตลาดรถยนต์นั่ง ซึ่งได้รับผลกระทบจากสถานการณ์การเมืองในปัจจุบันที่ยังคงยืดเยื้อ ซึ่งคนในกรุงเทพถือครองส่วนแบ่งตลาดรถยนต์นั่งรวมถึงร้อยละ 50 ดังนั้นในภาวะที่การเดินทางด้วยรถยนต์ส่วนตัวไม่สะดวกนัก ประกอบกับอารมณ์ของผู้บริโภคในช่วงนี้น้อยลง จึงคาดว่าช่วงไตรมาส 1/57 ยอดขายรถยนต์นั่งน่าจะหดตัวค่อนข้างมาก ขณะที่ตลาดรถเพื่อการพาณิชย์ โดยเฉพาะรถกระบะ อาจได้รับผลกระทบจากกำลังซื้อที่หดหาย โดยภาระหนี้ครัวเรือนที่เพิ่มขึ้น และรายได้เกษตรกรยังไม่ดีขึ้น ขณะที่โครงการรับจำนำข้าวยังต้องรอความชัดเจน นอกจากนี้ ราคาสินค้าเกษตรอื่น ๆ ก็ยังอยู่ในระดับที่ไม่ค่อยดีนักเมื่อเทียบกับปีที่แล้ว จากอุปทานที่ล้นตลาดในตลาดโลก ซึ่งจะเป็นผลกระทบต่อยอดขายรถเพื่อการพาณิชย์ในช่วงครึ่งปีแรกนี้