ภาวะเศรษฐกิจในครึ่งปีแรกช่วงต้นปี 56 ดูดีมาก มูลค่าการซื้อขายของตลาดหลักทรัพย์พุ่งขึ้นสูงสุดถึง 105,568 ล้านบาทต่อวัน และมูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยในช่วงครึ่งปีแรกสูงถึง 61,487 ล้านบาทต่อวัน แต่ในช่วงครึ่งปีหลังได้รับผลกระทบจากความกังวลเรื่องการลดนโยบาย Quantitative Easin(QE)ของธนาคารกลางสหรัฐ และปัจจัยทางการเมือง ทำให้ภาพรวมตลาดหลักทรัพย์ซบเซาลงไปในช่วงครึ่งปีหลัง
ทั้งนี้ รายได้ค่านายหน้าจากการซื้อขายหลักทรัพย์ในปี 56 เพิ่มขึ้น 1,093.49 ล้านบาท จาก 2,256.10 ล้านบาท เป็น 3,349.58 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 48.47 เนื่องมาจากปริมาณการซื้อขายหลักทรัพย์ที่เพิ่มขึ้น โดยปริมาณการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันของบริษัทเพิ่มขึ้นจาก 6,637 ล้านบาท เป็น 10,149 ล้านบาท อันเป็นผลมาจากการเพิ่มขึ้นของปริมาณการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันโดยรวมจาก 32,304 ล้านบาท เป็น 50,329 ล้านบาท
ขณะที่รายได้ค่านายหน้าจากการซื้อขายสัญญาซื้อขายล่วงหน้าเพิ่มขึ้น 4.02 ล้านบาท จาก 264.97 ล้านบาท เป็น 268.99 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 1.52 เนื่องมาจากปริมาณการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันของบริษัทฯเพิ่มขึ้นจาก 5,805 สัญญา เป็น 8,959 สัญญา ซึ่งยังคงเป็นไปตามการเพิ่มขึ้นของปริมาณการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันโดยรวมของตลาดอนุพันธ์ซึ่งเพิ่มขึ้นจาก 42,512 สัญญา เป็น 68,017 สัญญา
รายได้ดอกเบี้ยเงินให้กู้ยืมเพื่อซื้อหลักทรัพย์เพิ่มขึ้น 292.81 ล้านบาท จาก 343.41 ล้านบาท เป็น 636.22 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 85.27 เนื่องมาจากการเติบโตของตลาดทุนส่งผลให้เงินให้กู้ยืมเพื่อซื้อหลักทรัพย์เฉลี่ยสำหรับปีสิ้นสุดวันที่ 31 ธันวาคม 2556 เพิ่มขึ้นจากงวดดียวกันของปีก่อนซึ่งมียอดเงินให้กู้ยืมเฉลี่ย 6,141 ล้านบาท เป็น 11,543 ล้านบาท
ส่วนค่าใช้จ่ายรวมของบริษัทฯ เพิ่มขึ้น 711.20 ล้านบาท จาก 2,259.03 ล้านบาท เป็น 2,970.23 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 31.48 ซึ่งค่าใช้จ่ายหลักที่เพิ่มขึ้น ได้แก่ ต้นทุนทางการเงิน ซึ่งเพิ่มขึ้น 249.92 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 119.25 เนื่องมาจากการเพิ่มขึ้นของดอกเบี้ยที่จ่ายให้แก่เงินวางหลักประกันของลูกค้าและเงินกู้ยืมระยะสั้น ค่าธรรมเนียมและบริการจ่าย ซึ่งเพิ่มขึ้น 67.60ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 32.76 และค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับพนักงาน ซึ่งเพิ่มขึ้น 451.80 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 36.70 เป็นผลมาจากการเพิ่มขึ้นของค่าธรรมเนียมการซื้อขายหลักทรัพย์และผลตอบแทนเจ้าหน้าที่การตลาดซึ่งเป็นผลมาจากการเพิ่มขึ้นของรายได้ค่านายหน้า
อีกทั้งบริษัทได้มีการเปลี่ยนแปลงนโยบายการบัญชีเกี่ยวกับภาษีเงินได้ โดยได้นำมาตรฐานการบัญชี เรื่องภาษีเงินได้ มาถือปฏิบัติ มีผลให้ต้องปรับปรุงย้อนหลังงบการเงินสำหรับปีสิ้นสุดว้นที่ 31 ธ.ค.55 ทำให้ภาษีเงินได้ลดลง และกำไรสุทธิเพิ่มขึ้น 15.36 ล้านบาท ดังนั้น จึงมีผลทำให้ผลการดำเนินงานสำหรับปี 2556 สูงกว่าผลการดำเนินงานในงวดเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 93
"จะเห็นได้ว่าการดำเนินงานของ เมย์แบงก์ กิมเอ็ง ในปี 56 จะมีตัวเลขการเติบโตกว่า 93 % และยังรักษาความเป็นโบรกเกอร์ อันดับ 1 มาได้ติดต่อกันเป็นปีที่ 12 อย่างไรก็ตาม บริษัทฯ ไม่เคยหยุดนิ่งหากแต่จะเร่งพัฒนาในหลากหลายมิติ ไม่ว่าจะเป็นบุคลากรที่มีความรู้ความสามารถ ผลิตภัณฑ์ และบริการที่ดีเยี่ยม ให้ครอบคลุมทุกความต้องการของลูกค้าให้ได้มากที่สุด อันจะสร้างความเชื่อมั่นในแก่ผู้ลงทุน และรักษาแชมป์ โบรกเกอร์อันดับ 1 ที่มีส่วนแบ่งการตลาดสูงสุดยาวนานอย่างต่อเนื่องต่อไป"นายมนตรี กล่าว