(เพิ่มเติม) KBANK ตั้งเป้าให้บริการธุรกรรมการค้าระหว่างประเทศปีนี้โต 28%จากปีก่อน

ข่าวหุ้น-การเงิน Monday February 10, 2014 13:54 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นายปรีดี ดาวฉาย กรรมการผู้จัดการ ธนาคารกสิกรไทย (KBANK) ตั้งเป้าหมายการให้บริการธุรกรรมการค้าระหว่างประเทศปีนี้ไว้ที่ 910,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีที่แล้ว 28% ยอดสินเชื่อการลงทุน 37,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 48% การปล่อยสินเชื่อในประเทศจีน 20,600 ล้านบาท
"ในปี 57 ธนาคารตั้งเป้ารักษาการเป็นผู้นำด้านการปล่อยสินเชื่อให้แก่ธุรกิจ จีน ญี่ปุ่น และเกาหลีเข้ามาลงทุนในประเทศไทย โดยจะเน้นการให้บริการที่ครบวงจร"

ทั้งนี้ในปี 57 ธนาคารกสิกรไทยมีแผนขยายเครือข่ายการให้บริการครอบคลุมใน AEC+3 จำนวน 5 แห่ง แบ่งเป็นสาขาต่างประเทศ 2 แห่ง สำนักงานผู้แทน จำนวน 3 แห่ง และขยายความร่วมมือกับพันธมิตรธนาคารท้องถิ่น เพื่อพัฒนาบริการทางการเงิน การแลกเปลี่ยนความรู้ การร่วมมือจับคู่ทางธุรกิจ และเพิ่มศักยภาพของพนักงานให้มีความเชี่ยวชาญท้างด้านธุรกิจและภาษา การพัฒนาระบบสารสนเทศเพื่อให้สามารถตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้

นายพิพิธ เอนกนิธิ รองกรรมการผู้จัดการ KBANK กล่าวว่า ในปีนี้ธนาคารมีแผนจะขยายเครือข่ายการให้บริการในกลุ่มประเทศ AEC+3 จำนวน 5 แห่ง แบ่งเป็นสาขาต่างประเทศ 2 แห่ง และสำนักงานผู้แทน 3 แห่ง ซึ่งประเทศเป้าหมาย ได้แก่ ลาว กัมพูชา พม่า อินโดนีเซีย และจีน โดยอยู่ในขั้นตอนการเจรจากับทางการของประเทศนั้นๆ ว่าจะมีการจัดตั้งในรูปแบบใด เบื้องต้นคาดว่าในลาว กัมพูชา และพม่า มีความเป็นไปได้มากที่จะเป็นรูปแบบสาขา ส่วนอินโดนีเซียจะเป็นรูปแบบสำนักงานตัวแทน(DEP)รับฝาก-ถอนเงิน ทั่วไป และ จีนจะเข้าไปขยายสาขาเพิ่มเป็นแห่งที่ 3 จากเดิมมีอยู่ 2 สาขา

ประกอบกับ ธนาคารจะมีการเพิ่มพนักงานต่างชาติอีก 141 อัตราภายในปี 58 จากปัจจุบันมีพนักงานต่างชาติจำนวนกว่า 300 อัตรา เพื่อรองรับการให้บริการทางการเงินใน AEC+3 ดังกล่าว ธนาคารยังจะขยายความร่วมมือกับพันธมิตรท้องถิ่นด้วย เพื่อสนับสนุนการค้าการลงทุนของนักธุรกิจไทยและต่างประเทศให้มีความคล่องตัวมากขึ้น โดยเฉพาะเมื่อมีการรวมตัวกันเป็น AEC ปี 58 และการร่วมเป็นหุ้นส่วนเศรษฐกิจกับจีน ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ ซึ่งเป็นสามประเทศมหาอำนาจทางเศรษฐกิจของทวีปเอเชีย เห็นได้จากอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจในปี 56 ที่สูงถึง 25% ของอัตราการของเศรษฐกิจ(GDP)โลก

ส่วนปัญหาทางการเมืองขณะนี้จะส่งผลต่อธุรกรรมระหว่างประเทศหรือไม่นั้น นายปรีดี กล่าวว่า เบื้องต้นคาดการณ์ว่าปัญหาการเมืองในประเทศได้ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจให้เจริญเติบโตได้ประมาณ 2-4% ซึ่งขึ้นอยู่กับว่าปัญหาการเมืองจะมีความยืดเยื้อไปอีกหรือไม่ โดยยอมรับว่าปัญหาการเมืองที่เกิดขึ้นจะส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นนักลงทุนต่างประเทศอย่างแน่นอน

จากปัจจัยที่ทำให้ธนาคารมีการปรับประมาณการณ์เศรษฐกิจลง เนื่องมาจากเป็นผลกระทบทางเศรษฐกิจจากปีก่อน อย่างปัญหาทางการเมืองในประเทศ ปัญหาหนี้ครัวเรือนของไทยที่อยู่ในระดับสูง ประกอบกับ สหรัฐได้ทยอยลดมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ(QE)ลงอย่างต่อเนื่อง ทำให้ขณะนี้มีลูกค้าต่างประเทศชะลอการตัดสินใจเข้ามาลงทุนในไทยบ้าง แต่มองว่าการลงทุนโดยตรงขึ้นอยู่กับความเชื่อมั่นของแต่ละประเทศ โดยส่วนใหญ่จะเข้ามาลงทุนในระยะยาวมากกว่า

ขณะเดียวกัน ในปีนี้มองว่าการส่งออกน่าจะขยายตัวได้ 5.7% โดยสินค้าหลักมาจาก รถยนต์ อัญมณี สินค้าโภคภัณฑ์ และอิเล็กทรอนิกส์ หากการส่งออกขยายตัวได้ตามคาดการณ์จะสามารถผลักดันให้เศรษฐกิจไทยเติบโตขึ้นไปได้ รวมถึงหากมีการจัดตั้งรัฐบาลใหม่ได้ภายในครึ่งปีแรกนี้คาดว่า GDP จะเติบโตได้ 3% แต่หากไม่ได้ GDP จะเติบโตเพียง 2% โดยตั้งอยู่บนพื้นฐานของการส่งออกที่ดี


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ