กองทุน ONE-EURO มีนโยบายกระจายการลงทุนในหลักทรัพย์ของบริษัทที่จดทะเบียนในตลาดหุ้นยุโรป โดยเน้นหุ้นใน EURO STOXX50 Index ดัชนีหุ้นชั้นนำ 50 หุ้นของประเทศในกลุ่มยูโรโซนจำนวน 12 ประเทศ ใช้กลยุทธ์คัดหุ้นคุณภาพดีเป็นรายบริษัท (Stocks Selection) เพื่อสร้างโอกาสผลตอบแทนต่อพอร์ตการลงทุนเพิ่มเติมจากประโยชน์ของการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจในกลุ่มยูโรโซน บริหารจัดการแบบลงทุนแบบ Active Manage Portfolio ซึ่งมีความยืดหยุ่นในการปรับสัดส่วนหุ้นและตราสารหนี้ 0-100% เพื่อลดความเสี่ยงในภาวะตลาดผันผวน โดยมีการป้องกันความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยนอย่างน้อย 90% ของมูลค่าเงินลงทุนในต่างประเทศ
บริษัทมีมุมมองต่อเศรษฐกิจยูโรโซนในเชิงบวกมากขึ้น หลังจากในช่วงที่ผ่านมาทยอยฟื้นตัวอย่างมีเสถียรภาพ โดยดัชนีชี้นำต่างๆ(Leading Indicators) ได้บ่งชี้ถึงการฟื้นตัวที่ดีขึ้นในกลุ่มยูโรโซน ไม่ว่าจะเป็นการลงทุนที่สะท้อนจากดัชนีการผลิตภาคอุตสาหกรรม (Manufacturing PMI) และตัวเลขการส่งออก รวมถึงตัวเลขการบริโภคที่ดีขึ้น ซึ่งโดยรวมน่าจะส่งผลดีต่อตลาดแรงงานในช่วงต่อไป ถึงแม้ว่าตัวเลขอัตราการว่างงานในปัจจุบันยังคงสูง
นอกจากนี้ ธนาคารต่างๆในยุโรปเริ่มทยอยปล่อยกู้มากขึ้น หลังจากปรับโครงสร้างมาตลอด 4 ปี ซึ่งน่าจะเป็นตัวกดดันเศรษฐกิจได้มากขึ้น ขณะที่ธนาคารกลางยุโรปยังคงมีเครื่องมือต่างๆเพื่อสนับสนุนเศรษฐกิจไม่ว่าจะเป็นการลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย การเปิดให้ธนาคารพาณิชย์เข้าร่วมประมูลเงินกู้แบบไม่จำกัดวงเงินให้แก่ธนาคารพาณิชย์ในยุโรปที่ประสบปัญหาสภาพคล่อง (LTRO) และการเข้าซื้อพันธบัตรของประเทศในกลุ่มสหภาพยุโรปโดยไม่จำกัดวงเงิน (OMT) ก็เป็นอีกปัจจัยที่ทำให้ทางการยุโรปสามารถสนับสนุนการเติบโตของตลาดแรงงานได้ สำหรับนโยบายของธนาคารกลางยุโรป ในเรื่องของข้อจำกัดด้านการตรวจสอบคุณภาพสินทรัพย์(Asset Quality Review:AQR) ที่กำลังจะมาถึง จะเป็นจังหวะที่ดีสำหรับการทดสอบความแข็งแกร่งของภาคธนาคารพาณิชย์ในช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมา ซึ่งคาดว่าหากธนาคารพาณิชย์ต่างผ่านการทดสอบ จะเป็นการสร้างความเชื่อมั่นให้แก่ภาคครัวเรือนและภาคธุรกิจมากขึ้น สำหรับปัญหาภาวะเศรษฐกิจยูโรโซนที่ยังเผชิญกับความเสี่ยงของภาวะเงินฝืด ซึ่งอาจเป็นอุปสรรคต่อการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจนั้น ทำให้มองเห็นโอกาสของการเข้าซื้อสินทรัพย์ (Asset Purchase Program) ในระยะต่อไป
ภาพรวมตลาดหุ้นในยุโรปมีการปรับขึ้นนับตั้งแต่ปี 2012 สะท้อนการฟื้นตัวเบื้องต้นของเศรษฐกิจ และด้วยมูลค่าหุ้น (Valuation) ในปัจจุบันอยู่ในระดับต่ำ ราคากำไรของบริษัทจดทะเบียนฯ (PE)ที่ระดับ 13 เท่า ขณะที่อัตราการเติบโตกำไรต่อหุ้น (EPS) มีแนวโน้มปรับขึ้นในอนาคต ทำให้PE ยังคงอยู่ในระดับเท่าเดิม ซึ่งถ้าเศรษฐกิจฟื้นตัวต่อเนื่องก็จะทำให้ EPS มีโอกาสปรับขึ้นต่อเนื่อง ซึ่งทำให้มูลค่าของตลาดปัจจุบันอยู่ในระดับที่น่าสนใจ ทำให้เป็นโอกาสที่ดีสำหรับการลงทุนในหุ้นยุโรปในช่วงนี้ โดยมองว่า กลุ่มอุตสาหกรรมที่น่าสนใจ ได้แก่ กลุ่มธนาคารพาณิชย์ การบริโภค และการผลิตสินค้าและบริการ โดยเฉพาะกลุ่มสินค้าฟุ่มเฟือย (luxury goods) เนื่องจาก ได้รับอานิสงส์จากเศรษฐกิจในกลุ่มยูโรโซนและเศรษฐกิจโลกที่ฟื้นตัว รวมทั้งการปล่อยสินเชื่อที่เร่งขึ้น เพื่อบริโภคและลงทุนหลังจากที่เศรษฐกิจได้ทยอยผ่านพ้นวิกฤตเศรษฐกิจที่รุนแรงในช่วงที่ผ่านมา