นางสาวรำภา คำหอมรื่น รองประธานฝ่ายบัญชีและการเงิน BIGC กล่าวว่า ถึงแม้ว่าจะเกิดปัญหาทางเศรษฐกิจและแรงกดดันจากการเพิ่มขึ้นของต้นทุนดังที่กล่าวมา แต่บริษัทยังคงรักษาผลการดำเนินงานในปี 56 ได้อย่างน่าพึงพอใจโดยดำรงภาพลักษณ์ของผู้นำด้านราคาถูกในธุรกิจค้าปลีกของไทยและกิจกรรมทางการตลาดที่โดดเด่น บิ๊กซี ยังได้เปิดตัวบริการประกันภัยรายย่อยเพื่อเป็นศูนย์บริการครบวงจร
BIGC ยังคงขยายสาขาอย่างต่อเนื่อง โดยเมื่อสิ้นปี 56 บิ๊กซีมีจำนวนสาขาที่เพิ่มขึ้นคือไฮเปอร์มาร์เก็ตจำนวน 6 สาขา บิ๊กซีมาร์เก็ตจำนวน 12 สาขา มินิบิ๊กซีจำนวน 153 สาขา (รวมมินิบิ๊กซีที่ตั้งอยู่ในสถานีบริการน้ำมันบางจาก 55 สาขา) และร้านขายยาเพรียวจำนวน 41 สาขา และยังได้ปรับโฉมด้วยการปรับปรุง สาขาเดิม เพื่อสร้างบรรยากาศใหม่ๆให้แก่การจับจ่ายของผู้บริโภค รวมทั้งการปรับไฮเปอร์มาเก็ตให้เป็นบิ๊กซี จัมโบ้ สาขาที่สองที่นวนคร ทั้งยังเดินหน้าจับตลาดผู้ประกอบการด้วยการเปิดจัมโบ้สเตชั่นที่อยุธยาเพื่อรองรับความต้องการของกลุ่มผู้ประกอบการทั้งรายใหญ่และรายย่อย อันเป็นผลให้จำนวนสาขา
ณ วันสิ้นปี 56 มีไฮเปอร์มาเก็ตจำนวน 119 สาขา บิ๊กซีมาร์เก็ตจำนวน 30 สาขา มินิบิ๊กซีจำนวน 278 สาขา (รวมมินิบิ๊กซีที่ตั้งอยู่ในสถานีบริการน้ำมันบางจาก 62 สาขา) และร้านขายยาเพรียวจำนวน 132 สาขา
ทั้งนี้ ยอดขายสุทธิของ BIGC และบริษัทย่อยในปี 56 มีจำนวน 118,177 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี 55 จำนวน 6,041 ล้านบาทหรืออัตรา ร้อยละ 5.4 ปัจจัยที่ผลักดันการเติบโตของยอดขายในปี 56 คือการเติบโตของยอดขายจากการเปิดสาขาในระหว่างปี 56 และยังสามารถรักษายอดขายของสาขาเดิมไว้เช่นเดียวกับระดับที่สูงของปี 55 ขณะเดียวกัน รายได้ค่าเช่าและค่าบริการสถานที่มีจำนวน 8,745 ล้านบาทในปี 56 เติบโตขึ้นจากปี 55 จำนวน 818 ล้านบาทหรืออัตราร้อยละ 10.3
การเติบโตอย่างต่อเนื่องของรายได้ค่าเช่าและค่าบริการสถานที่เกิดจากการบริหารจัดการพื้นที่ให้เช่าและจากการเพิ่มพื้นที่ให้เช่าในสาขาใหม่ๆ โดยในปี 56 มีสาขาใหม่เพิ่มขึ้นจำนวน 18 สาขาทำให้พื้นที่เช่าเพิ่มขึ้นเป็นอัตราร้อยละ 5.5 และจากความสำเร็จในการบริหารจัดการพื้นที่ให้เช่าอย่างมีประสิทธิภาพ ทั้งนี้ ผลการดำเนินงานรวมของบิ๊กซีและบริษัทย่อยในปี 56 มีกำไรสุทธิ 6,976 ล้านบาท มีการเติบโตเพิ่มขึ้น 902 ล้านบาทหรือร้อยละ 14.8 เมื่อเทียบกับปี 55