อย่างไรก็ตาม เศรษฐกิจในขณะนี้ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ทางการเมืองแล้ว โดยเฉพาะด้านการบริโภคภายในประเทศและการลงทุนของภาคเอกชนที่ในระยะสั้นนักลงทุนยังไม่กล้าที่จะลงทุน รวมไปถึงความล่าช้าของการลงทุนภาครัฐ เนื่องจากไม่สามารถเบิกจ่ายงบประมาณออกมาได้ แต่ก็เชื่อว่าโครงการต่างๆอาจล่าช้าไปบ้าง แต่คงไม่ถึงกับยกเลิกโครงการ เช่น โครงการลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐาน 2 ล้านล้านบาท คงต้องเลื่อนออกไปจากปีนี้
สำหรับแนวโน้มกำไรสุทธิของบริษัทจดทะเบียนในปีนี้ คาดว่าจะเติบโตได้ 10-12% แต่จากภาวะการเมืองในขณะนี้อาจทำให้การเติบโตต่ำกว่า 10% ซึ่งส่วนหนึ่งเป็นผลจากแรงกดดันของทั้งภาวะเศรษฐกิจในประเทศที่ชะลอตัวด้วย
นายวรวรรณ กล่าวว่า สถานการณ์การเมืองกระทบกับนักลงทุนต่างชาติ ส่งผลให้เงินทุนไหลออกจำนวนมาก และหากการเมืองยังยืดเยื้อจะกระทบต่อตลาดหุ้นไทยในระยะยาว แนะนำว่าควรให้ทั้ง 2 ฝ่ายหันหน้าเข้ามาเจรจากัน จะส่งผลดีต่อตลาดหุนไทย เพราะขณะนี้จากการประชุม Economics forum ประเทศไทยยังติดอันดับ 1 ใน 10 โดยอยู่อันดับ 8 จึงหวังให้ปัญหาทางการเมืองจบลงอย่างรวดเร็วก่อนจะสายเกินไป
ด้านนายมนตรี ศรไพศาล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บล.เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) ยอมรับว่า ปัญหาการเมืองขณะนี้ได้ส่งผลกระทบต่อการลงทุนในไตรมาสแรกนี้แล้ว และอาจลากยาวไปถึงไตรมาส 2 ดังนั้น จึงอยากให้ทั้งสองฝ่ายหันหน้าเจรจาและมีคนกลางเข้ามาช่วยหาข้อยุติโดยเร็วภายในกลางปีนี้ เพื่อช่วยให้การลงทุนกลับสู่ภาวะปกติได้
ปัญหาการเมืองเป็นปัจจัยหลักที่กระทบต่อตลาดหุ้น ทำให้บรรยากาศการลงทุนซบเซา เนื่องจากนักลงทุนไม่มั่นใจ และใช้วางแผนการลงทุนแบบ wait & see เพื่อประเมินสถานการณ์ก่อนตัดสินใจลงทุน แต่อย่างไรก็ตามยังเชื่อว่าหากสถานการณ์การเมืองกลับเข้ามาสู่ภาวะปกติโดยเร็ว ต่างชาติก็จะกลับมาลงทุน เนื่องจากพื้นฐานต่างยังดีอยู่ ยังมีความหน้าสนใจในการเข้ามาลงทุนได้
อย่างไรก็ตาม ช่วงนี้แนะนำหุ้นกลุ่มที่ได้รับอานิสงส์จากการส่งออกที่เริ่มกลับมาฟื้นตัว อาทิ กลุ่มอิเล็กโทรนิคส์ กลุ่มยานยนต์ และกลุ่มอาหาร รวมถึงกลุ่มสื่อสารที่ได้รับผลกระทบจากการเมืองน้อย