นอกจากนี้ จากการที่ราคาเฉลี่ยน้ำมันดิบดูไบ ณ สิ้นไตรมาส 4/56 ปรับขึ้นเล็กน้อยส่งผลให้มีผลกำไรจากสต็อกน้ำมัน 1,247 ล้านบาท ประกอบกับมีกำไรจากอนุพันธ์เพื่อประกันความเสี่ยงสุทธิ 388 ล้านบาท ทำให้ EBITDA ของเครือไทยออยล์ปรับเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 4,257 ล้านบาท ทั้งนี้มีผลขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยน 1,815 ล้านบาท เนื่องจากในไตรมาส 4/56 ค่าเงินบาทอ่อนค่าลงมากในรอบ 3 ปี
ทั้งนี้ โดยรวมทำให้ในไตรมาส 4/56 เครือไทยออยล์มีผลขาดทุนสุทธิ 14 ล้านบาท หรือขาดทุนต่อหุ้น 0.01 บาท เทียบกับไตรมาส 3/56 เครือไทยออยล์มีกำไรสุทธิ 7,609 ล้านบาท หรือกำไรต่อหุ้น 3.73 บาท
เมื่อเทียบผลการดำเนินงานระหว่างไตรมาส 4/56 และไตรมาส 4/55 เครือไทยออยล์มีรายได้จากการขายลดลง 3,803 ล้านบาท จากปริมาณการใช้กำลังการกลั่นลดลงและราคาผลิตภัณฑ์เฉลี่ยลดลง ประกอบกับส่วนต่างราคาผลิตภัณฑ์และวัตถุดิบของธุรกิจโดยรวมลดลง ทำให้กำไรขั้นต้นจากการผลิตรวมของกลุ่มไม่รวมผลกระทบจากสต็อกน้ำมันปรับตัวลดลง 2.4 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล ทำให้ EBITDA ลดลง 156 ล้านบาทจากช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน นอกจากนี้มีผลขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนในไตรมาส 4/56 เพิ่มขึ้น 2,235 ล้านบาทเนื่องจากเงินบาทที่อ่อนค่าลงมากในช่วงปลายปี 2556 โดยรวมเครือไทยออยล์จึงมีกำไรสุทธิลดลง 1,939 ล้านบาท เทียบกับไตรมาส 4/55
สำหรับผลการดำเนินงานสำหรับปี 56 เทียบกับปี 55 เครือไทยออยล์มีรายได้จากการขายปรับลดลงร้อยละ 7 เนื่องจากราคาผลิตภัณฑ์โดยเฉลี่ยปรับลดลงจากอุปสงค์ที่ลดลงจากภาวะเศรษฐกิจโลกชะลอตัว นอกจากนี้จากส่วนต่างราคาของผลิตภัณฑ์ และ วัตถุดิบของโรงกลั่น ส่งผลให้กำไรขั้นต้นจากการผลิตรวมของกลุ่มไม่รวมผลกระทบจากสต็อกน้ำมันปรับตัวอยู่ที่ 6.8 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรลลดลง 0.9 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล โดยมีผลกำไรจากสต็อกน้ำมัน 2,624 ล้านบาทเปรียบเทียบกับปีก่อนที่มีผลขาดทุนจากสต็อกน้ำมัน 2,592 ล้านบาท นอกจากนี้ มีกำไรจากอนุพันธ์เพื่อประกันความเสี่ยงสุทธิเพิ่มขึ้น 402 ล้านบาท ทำให้ EBITDA เพิ่มขึ้น 2,011 ล้านบาทเป็น 22,361 ล้านบาท
อย่างไรก็ตาม เครือไทยออยล์มีต้นทุนทางการเงินเพิ่มขึ้นจากการออกหุ้นกู้สกุลเหรียญสหรัฐฯ และมีขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนสุทธิเพิ่มขึ้น ทำให้มีกำไรสุทธิจำนวน 10,394 ล้านบาท หรือกำไรต่อหุ้น 5.09 บาท ลดลงเมื่อเทียบกับปี 55