สมาคมตลาดตราสารหนี้ไทย (ThaiBMA) สรุปภาวะตลาดตราสารหนี้ไทยเมื่อวันที่ 13 ก.พ. 57 มีมูลค่าการซื้อขายรวม 90,483 ล้านบาท โดยประเภทของตราสารที่มีมูลค่าการซื้อขายสูงที่สุด คือ พันธบัตรธนาคารแห่งประเทศไทย โดยมีมูลค่าการซื้อขายเท่ากับ 63,920 ล้านบาท หรือคิดเป็นสัดส่วน 70.6% ของมูลค่าการซื้อขายทั้งหมดที่เกิดขึ้นในวันนี้ ลำดับถัดมาคือ พันธบัตรรัฐบาล มีมูลค่าการซื้อขายเท่ากับ 21,060 ล้านบาท หรือคิดเป็นสัดส่วน 23.3% ทางด้าน หุ้นกู้เอกชน มีมูลค่าการซื้อขายเท่ากับ 1,262 ล้านบาท หรือคิดเป็น 1.4% ของมูลค่าการซื้อขายทั้งหมด
สำหรับ พันธบัตรรัฐบาล รุ่นที่นิยมซื้อขายสูงสุดในวันนี้คือ พันธบัตรรุ่น LB196A, LB176A และ LB145B (รุ่นอายุ 5.3 ปี, 3.3 ปี และ 0.3 ปี ตามลำดับ) โดยมีมูลค่าการซื้อขายรวมกัน 13,631 ล้านบาท หรือคิดเป็น 65% ของมูลค่าการซื้อขายพันธบัตรรัฐบาลทั้งหมด ทางด้าน หุ้นกู้เอกชน รุ่นที่นิยมซื้อขายสูงสุด 3 อันดับแรกในวันนี้ คือ
1. หุ้นกู้ของบริษัท น้ำตาลมิตรผล จำกัด (MPSC156A) มูลค่า 152.3 ล้านบาท
2. หุ้นกู้ไม่มีประกันของบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) (PTTC239A) มูลค่า 148.8 ล้านบาท
3. หุ้นกู้บริษัทปูนซิเมนต์ไทย จำกัด (มหาชน) (SCC19OA) มูลค่า 144.4 ล้านบาท
โดยมีมูลค่าการซื้อขายรวมกัน 445.6 ล้านบาท หรือคิดเป็น 35.3% ของมูลค่าการซื้อขายหุ้นกู้เอกชนทั้งหมดในวันนี้
ทางด้านประเภทของนักลงทุน ที่มีมูลค่าการซื้อขายสูงที่สุดเป็น 2 อันดับแรกในวันนี้ คือ
1. กลุ่มบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) มียอดซื้อสุทธิ เท่ากับ 10,428 ล้านบาท
2. กลุ่มบริษัทจดทะเบียนในประเทศ มียอดซื้อสุทธิ เท่ากับ 8,152 ล้านบาท
ในขณะที่นักลงทุนต่างชาติ มียอดซื้อสุทธิ เท่ากับ 11,897 ล้านบาท
ผลตอบแทนของพันธบัตรรัฐบาลอายุ 3 เดือน ปิดที่ 2.24% ไม่มีการเปลี่ยนแปลงจากเมื่อวาน และผลตอบแทนของพันธบัตรรัฐบาลอายุ 5 ปี ปิดที่ 3.31% ปรับตัวลดลงจากเมื่อวาน -0.02%
Yield Curve ปรับลดลงในตราสารอายุ 3 ปีขึ้นไป ประมาณ 1-4 bps. ในทิศทางเดียวกับ US Treasury ประกอบกับมีแรงซื้อจากนักลงทุนทั้งในและต่างประเทศ โดยผลการประมูลพันธบัตรรุ่นอัตราดอกเบี้ยลอยตัวของ ธปท. อายุ 3 ปี ได้รับความสนใจจากนักลงทุน 3.8 เท่าของวงเงินประมูล สำหรับนักลงทุนต่างชาติ วันนี้มียอดซื้อสุทธิ (NET BUY) เท่ากับ 11,897 ล้านบาท