ขณะที่บริษัทยังเดินหน้าขยายการลงทุนอย่างต่อเนื่อง โดยบริษัทอยู่ระหว่างการเจรจาเข้าลงทุนโครงการโซลาร์ฟาร์มในประเทศญี่ปุ่นขนาด 30-50 เมกะวัตต์คาดสรุปกลางปีนี้ และเตรียมเข้าซื้อกิจการโรงงานเอทานอลกำลังผลิต 2 แสนลิตร/วัน คาดว่าจะได้ข้อสรุปเร็วๆ นี้
นายวิเชียร อุษณาโชติ กรรมการผู้จัดการใหญ่ BCP เปิดเผยว่า บริษัทตั้งเป้า EBITDA ในปี 57 ที่ 1 หมื่นล้านบาท สูงจากปีที่แล้วที่มี EBITDA ที่ 9.5 พันล้านบาท แม้ว่าในปีนี้ผลประกอบการจากธุรกิจโรงกลั่นลดลงจากการปิดซ่อมบำรุงและเปลี่ยนหอกลั่นใหม่น้ำมันดิบหน่วยที่ 3 ที่ประสบเหตุเพลิงไหม้ รวมระยะเวลา 45 วัน เริ่ม 1 พ.ค.นี้ ทำให้กำลังการกลั่นปีนี้ลดลงเหลือเฉลี่ย 9.3 หมื่นบาร์เรล/วันจากปีก่อนกำลังการกลั่นเฉลี่ย 9.9 หมื่นบาร์เรล/วัน
แต่บริษัทมีรายได้จากโครงการผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ ระยะที่ 3 กำลังผลิตรวม 48 เมกะวัตต์เข้ามาชดเชย โดยเริ่มจ่ายไฟ(COD) ในเดือนเมย.3แห่ง, เดือน มิ.ย. 1 แห่ง และเดือนส.ค.อีก 1 แห่ง
ส่วนค่าการกลั่นของบริษัทในปีนี้คาดว่าจะใกล้เคียง จากปีก่อน หรืออาจจะต่ำกว่าเล็กน้อยจากปีก่อนที่มีค่าการกลั่นที่ 5.7 เหรียญ/บาร์เรล
นายวิเชียร กล่าวว่า บริษัทยังไม่ได้รับผลกระทบจากการชุมนุมทางการเมืองในช่วง 1-2เดือนนี้ โดยยอดขายปลีกยังเติบโต 1-2% อย่างไรก็ตามเชื่อว่าเหตุการณ์ชั่วคราว และบริษัทยังตั้งเป้าการเติบโตของยอดยายปลีกปีนี้ในระดับ 6-8% และครองส่วนแบ่งตลาดอันดับที่ 2 แต่หากสถานการณ์การเมืองยืดเยื้อก็คงต้องมาปรับประมาณการใหม่ รวมทั้งแผนการลงทุนก็อาจจะชะลอออกไปก่อน
ทั้งนี้ เบื้องต้นในปีนี้บริษัทตั้งงบลงทุน 7 พันล้านบาทใช้ลงทุนโครงการผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ ระยะที่ 3 จำนวน 2 พันล้านบาท, โครงการเปลี่ยนหอกลั่นใหม่น้ำมันดิบหน่วยที่ 3 จำนวน 2 พันล้านบาท โดยส่วนหนึ่งมาจากเงินชดเชยประกันประมาณ 400 ล้านบาท, การขยายสถานีบริการน้ำมัน 30 สาขา และปรับปรุงสถานีบริการเดิมรวม 1.5 พันล้านบาท นอกจากนี้ บริษัทเริ่มโครงการปรับปรุงประสิทธิภาพโรงกลั่น (โครงการ 3E)งบลงทุนรวม 7 พันล้านบาท ระยะเวลาดำเนินการ 4 ปี(ปี 57-60) ขณะนี้อยู่ระหว่างออกแบบ และจะเปิดคัดเลือกผู้รับเหมาคาดจะได้ภายในปีนี้ จึงคาดว่าปีนี้ใช้เงินประมาณ 400 ล้านบาท
นอกจากนี้ บริษัทยังอยู่ระหว่างเจรจาพันธมิตรทั้งในไทยและญี่ป่นในการเข้าร่วมทุนโครงการผลิตไฟฟ้าจากแสงอาทิตย์ในประเทศญี่ปุ่น เบื้องต้นกำลังการผลิต 30-50เมกะวัตต์ อยู่ในช่วงทำ due diligence คาดว่าน่าจะได้ข้อสรุปกลางปีนี้ และ ยังเจรจาซื้อโรงงานเอทานอล ขนาดกำลังการผลิต 2 แสนลิตร/วัน อยู่ 2-3 ราย ที่มีการใช้วัตถุดิบทั้งจากโมลาสและมันสำปะหลัง ซึ่งระหว่างนี้อยู่ขั้นตอนเข้าตรวจสอบคุณภาพทรัพย์สิน คาดว่าจะสรุปได้เร็วๆนี้โ แต่คงไม่ซื้อหุ้นทั้ง 100% เป็นการเข้าถือหุ้นใหญ่ ที่เหลือให้เจ้าของเดิมถือ เพื่อช่วยเหลือหาวัตถุดิบ
นายวิเชียร กล่าวอีกว่า ราคาน้ำมันดิบในช่วงนี้ปรับตัวสูงขึ้น เพราะมีความต้องการมากขึ้น ซึ่งเป็นผลกระทบจากเหตุการณ์พายุหิมะในสหรัฐ ขณะที่ด้านซัพพลายมีปัญหาจากความไม่สงบทางการเมืองในลิเบียและซูดาน หากวันนี้ราคาน้ำมันในตลาดสิงคโปร์ยังปรับขึ้นต่อเนื่องก็อาจปรับขึ้นราคาน้ำมันในกลุ่มเบนซิน 40 สตางค์/ลิตรภายใน 1-2 วันนี้ ทั้งนี้ คาดราคาน้ำมันดิบดูไบเฉลี่ยปีนี้ที่ 105-106 เหรียญ/บาร์เรล จากปีก่อนราคาเฉลี่ยที่ 109 เหรียญ/บาร์เรล