อย่างไรก็ตาม บริษัทยังรอดูความชัดเจนของสถานการณ์ทางการเมืองที่ได้กลายมาเป็นประเด็นหลักที่กดดันการเติบโตทางเศรษฐกิจและความเชื่อมั่นของผู้บริโภค โดยคาดว่าน่าจะคลี่คลายในครึ่งปีหลัง ดังนั้น ในครึ่งแรกของปี 57 บริษัทจึงมีแผนจะเปิดโครงการใหม่เพียง 4 โครงการ มูลค่า 6,100 ล้านบาท เป็นบ้านเดี่ยวและทาวน์เฮ้าส์ 2 โครงการ และโครงการที่จังหวัดเชียงใหม่และหัวหิน 2 โครงการ
ก่อนจะลุยเปิดขายโครงการใหม่เพิ่มขึ้นในช่วงครึ่งปีหลังอีก 16 โครงการ มูลค่า 17,085 ล้านบาท โดยเป็นโครงการใหม่ 9 โครงการ และส่วนต่อขยายจากโครงการเดิม 7 โครงการ แยกเป็นบ้านเดี่ยวและทาวน์เฮ้าส์ 9 โครงการ มูลค่า 7,620 ล้านบาท คอนโดมิเนียม 7 โครงการ มูลค่า 9,465 ล้านบาท
"การมีโครงการเปิดใหม่เพิ่มอีก 20 โครงการ พร้อมทั้งยังจะมีคอนโดมิเนียมที่สร้างเสร็จพร้อมอยู่ในปีนี้เพิ่มขึ้น คิดเป็นมูลค่าเกือบ 8,000 ล้านบาท ทำให้บริษัทมั่นใจว่าจะสามารถทำยอดขายได้ตามเป้าหมายที่วางไว้"นายชายนิด กล่าว
ในปี 57 บริษัทตั้งเป้ารายได้ไว้ที่ 15,000 ล้านบาท แบ่งเป็นรายได้จากโครงการแนวราบ 8,000 ล้านบาท คอนโดมิเนียม 4,700 ล้านบาท ณ สิ้นปีที่ผ่านมา บริษัทมียอดขายค้างโอน (backlog) จำนวน 7,803 ล้านบาท เป็นยอดที่สามารถรับรู้รายได้ในปีนี้จำนวน 3,617 ล้านบาท แยกเป็นบ้านเดี่ยวและทาวน์เฮ้าส์ 664 ล้านบาท และคอนโดมิเนียม 2,953 ล้านบาท
บริษัทยังมีแผนออกกองทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ (REIT) โครงการหอพักนักศึกษายูนิลอฟท์ เชียงใหม่ มูลค่า 500 ล้านบาท รวมถึงมีแผนขายสินทรัพย์ที่ไม่ใช่ธุรกิจหลักของบริษัทและที่ดินเปล่าด้วย ซึ่งขณะนี้แผนการขายมีความคืบหน้าค่อนข้างมากแล้ว ในขณะเดียวกันมีแผนลดการลงทุนให้มาอยู่ที่ 1,000 ล้านบาท ลดงบด้านโฆษณาให้เหลือ 3% จากเดิม 4% ของยอดขาย และมีนโยบายควบคุมค่าใช้จ่ายในการบริหารด้วย ซึ่งคาดว่าจะส่งผลดีต่ออัตราการทำกำไรของบริษัทในปีนี้
“ทั้งนี้หวังว่าปัญหาต่างๆ น่าจะจบลงด้วยดี เพื่อบริษัทจะได้เดินหน้าตามแผนธุรกิจที่วางไว้ ซึ่งมั่นใจว่าจะสามารถสร้างผลประกอบการทั้งด้านยอดขาย รายได้ และกำไรที่ดีในปีนี้" นายชายนิด กล่าว
ส่วนผลดำเนินงานในปี 56 เป็นปีที่ภาคธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ต้องเผชิญบททดสอบสำคัญอีกครั้ง เนื่องจากเศรษฐกิจโดยรวมชะลอตัว เป็นการชะลอตัวของอุปสงค์หรือความต้องการซื้อในเกือบทุกด้าน ที่เริ่มแสดงอาการตั้งแต่ปลายไตรมาส 3 อีกทั้งภาระหนี้ภาคครัวเรือนที่เพิ่มสูงขึ้นได้บั่นทอนความเชื่อมั่นและกำลังซื้อของผู้บริโภค ส่งผลให้ธนาคารพาณิชย์เพิ่มความเข้มงวดในการปล่อยสินเชื่อ ขณะที่ความร้อนแรงทางการเมืองที่ปะทุขึ้นในช่วงไตรมาส 4 ซึ่งควรจะเป็นไตรมาสที่มียอดขายสูงสุด ยิ่งซ้ำเติมสถานการณ์ให้แย่ลง ส่งผลให้ผลการดำเนินงานของบริษัทในปี 56 ออกมาต่ำกว่าเป้าที่ตั้งเอาไว้
ในปี 56 บริษัทมียอดขาย 10,601 ล้านบาท ลดลง 22% เทียบกับปี 55 ที่มียอดขาย 13,573 ล้านบาท โดยยอดขายของบ้านเดี่ยวและทาวน์เฮ้าส์ลดลง 6% ขณะที่คอนโดมิเนียมลดลง 42% ส่วนรายได้ยังคงมีการเติบโตอยู่ประมาณ 9% มาที่ 9,470 ล้านบาท เทียบกับปี 55 ที่มีรายได้ 8,670 ล้านบาท แม้ว่ารายได้จากบ้านเดี่ยวและทาวน์เฮ้าส์จะลดลง 9% แต่รายได้จากคอนโดมิเนียมเติบโตสูงขึ้น 78% ส่งผลให้ภาพรวมของธุรกิจหลักของบริษัทยังคงมีการเติบโตอยู่ที่ 3%
นอกจากนี้ บริษัทยังมีรายได้จากการจัดตั้งกองทุนอสังหาริมทรัพย์ยูนิลอฟท์ ศาลายา ซึ่งเป็นหอพักนักศึกษา มูลค่า 514 ล้านบาท และมีการขายที่ดินมูลค่า 530 ล้านบาท ทำให้ยอดรายได้รวมทั้งหมดของบริษัทอยู่ที่ระดับ 10,000 ล้านบาท มีอัตราเติบโตประมาณ 13% เมื่อเทียบกับปี 55
"เนื่องจากบริษัทมีการลงทุนทั้งโครงการต่อเนื่องและการเปิดโครงการใหม่ ทำให้ค่าใช้จ่ายการดำเนินงานในปี 56 มีอัตราเพิ่มขึ้น เกิดความไม่สอดคล้องกัน (mismatch) ระหว่างรายได้ที่คาดว่าจะได้ ซึ่งได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ที่ได้กล่าวไว้ข้างต้นกับค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้น ส่งผลกระทบเชิงลบต่อความสามารถ ในการทำกำไรของบริษัท แม้ว่าจะมีการชะลอค่าใช้จ่ายในบางโครงการออกไปบ้าง แต่ก็ไม่สามารถที่จะดูดซับผลกระทบได้ทั้งหมด ส่งผลให้อัตรากำไรสุทธิยังอยู่ในระดับต่ำ“นายชายนิด กล่าว