ทั้งนี้ บริษัทมีแผนขยายพื้นที่สื่อป้ายโฆษณานอกที่อยู่อาศัย เพื่อขยายตลาดไปยังลูกค้ากลุ่มใหม่ ทั้งในกรุงเทพฯและต่างจังหวัด ซึ่งปัจจุบันมีพื้นที่สื่อโฆษณาทั้งสิ้น 81,647 ตารางเมตร โดยจะติดตั้งป้ายโฆษณาในโครงการ Flyover เฟส 2 ซึ่งเป็นป้ายโฆษณาที่ติดตั้งตามบริเวณสะพานข้ามแยกต่างๆ เพิ่มเป็น 366 ป้าย จากปัจจุบันมีอยู่ 117 ป้าย เพื่อรองรับความต้องการของลูกค้า
รวมถึงบริษัทฯจะเน้นการใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมต่างๆ เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มให้แก่ป้ายโฆษณาเดิม โดยจะปรับเปลี่ยนป้ายโฆษณาบิลบอร์ดเป็นป้ายโฆษณาแบบ LED ซึ่งสามารถตอบโจทย์กลยุทธ์ของลูกค้าที่ต้องการสื่อสารไปยังกลุ่มผู้บริโภคได้มากยิ่งขึ้น
นายนพดล กล่าวว่า บริษัทเตรียมงบลงทุน 500 ล้านบาทสำหรับแผนธุรกิจ 5 ปี เพื่อรุกตลาดอาเซียนปีละ 2 ประเทศ เน้นการขยายตลาดสื่อภายนอกที่อยู่อาศัย โดยมีรูปแบบทางธุรกิจ คือ จับมือกับพันธมิตรท้องถิ่นจัดตั้งบริษัทร่วมทุน และการเข้าไปรับจ้างบริหารพื้นที่สื่อโฆษณาให้แก่พันธมิตรในแต่ประเทศ รวมถึงการนำความรู้ไปร่วมกับพันธมิตรเพื่อสร้างความสำเร็จทางธุรกิจร่วมกัน
"คาดว่าจากการรุกตลาดอาเซียน จะทำให้บริษัทฯสามารถเติบโตได้อย่างก้าวกระโดดในปีถัดไป ศักยภาพของการที่เราจะก้าวเข้าสู่อาเซียน เรามองว่า ไทยมีจุดแข็งของการเป็นศูนย์กลางของสื่อโฆษณานอกที่อยู่อาศัย ซึ่งมีความสะดวกและเอื้อการทำสื่อโฆษณา โดยขณะนี้เรา 3G และกำลังจะขยับไปเป็น 4G ขณะเดียวกันเรามองหาพาสเนอร์ที่สามารถตอบโจทย์เราได้ โดยเราจะเน้นหาพาสเนอร์ที่ตอบโจทย์ CG เป็นหลัก เพื่อให้เป็นไปในทิศทางกาดำเนินงานเดียวกับกับบริษัท เพื่อลดความเสี่ยงการลงทุน"นายนพดล กล่าว
สำหรับสถานการณ์ทางการเมืองบริษัทฯมองว่าเป็นปัญหาในระยะสั้น หวังว่าจะสามารถคลี่คลายได้โดยเร็วและเป็นไปในทางที่ดีขึ้น แต่บริษัทไม่ได้รับผลกระทบใดๆจากการเมือง ในภาพรวมบริษัทยังคงเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง ขณะที่อุตสาหกรรมสื่อโฆษณาภายนอกที่อยู่อาศัยในปีนี้ มองว่ายังคงมีอัตราการเติบโตที่ดีจากไลฟ์สไตล์ผู้บริโภคที่ใช้ชีวิตนอกบ้านมีมากขึ้น ส่งผลให้ลูกค้าเล็งเห็นถึงความสำคัญของการเลือกใช้สื่อโฆษณาภายนอกที่อยู่อาศัยประเภทป้ายโฆษณาตามจุดต่างๆ เพื่อสร้างการรับรู้ในตัวสินค้าและแบรนด์ โดยบริษัทฯมั่นใจว่าสามารถเพิ่มยอดอัตราการใช้พื้นที่สื่อโฆษณาโดยรวมเพิ่มขึ้น จากปัจจุบันมีอัตราเฉลี่ยทั้งปีอยู่ที่ระดับ 80% จากพื้นที่สื่อโฆษณาทั้งหมด