นายพิเชษฐ สิทธิอำนวย กรรมการผู้อำนวยการ BLS คาดว่า รายได้และกำไรปี 57 จะลดลงจากปี 56 ที่มีรายได้ 3,332 ล้านบาท และกำไร 1,200 ล้านบาท เนื่องจากประเมินว่าวอลุ่มตลาดรวมในปีนี้จะลดลงมาที่ 3 หมื่นล้านบาท/วัน จากปี 56 ที่อยู่ในระดับ 5 หมื่นล้านบาท/วัน โดยคาดว่าทั้งรายได้และกำไรจะกลับไปใกล้เคียงปี 55 ที่มีรายได้ 2,379 ล้านบาท กำไร 802 ล้านบาท ซึ่งในปีนี้บริษัทมีผลิตภัณฑ์ทางการเงินเพิ่มขึ้น เช่น DW
บริษัทตั้งเป้าลูกค้าเปิดบัญชีใหม่ 15,000 บัญชี จากปัจจุบันมีฐานลูกค้า 116,000 บัญชี คิดเป็นบัญชีที่เคลื่อนไหวสม่ำเสมอ 32% ซึ่งการตั้งเป้าขยายฐานลูกค้าใหม่อิงกับการโตของตลาด ส่วนเป้ามาร์เก็ตแชร์ยังคงเป้าที่ 5% ขณะที่มองว่าแนวโน้มอินเตอร์เน็ต เทรดดิ้งน่าจะเติบโตขึ้น เนื่องจากจำนวนลูกค้าอินเตอร์เทรดดิ้ง คิดเป็น 90% ทำให้ภาพรวมของตลาดวอลุ่ม 70-80% มาจากอินเตอร์เนต เทรดดิ้ง
"เป็นเป้าหมายที่ Conservative ต่างจากปี 56 ที่ลูกค้าใหม่เพิ่มขึ้นถึง 40,000 บัญชี/ปี จากเป้าที่ 12,000 บัญชี...ปี 57 ธุรกิจหลักทรัพย์ไม่คึกคัก ทั้งปัจจัยในและนอก เราจะเน้นขยายฐานลูกค้าบวกกับการสร้างฐานลูกค้าให้มีคุณภาพ"นายพิเชษฐ์ กล่าว
ด้านธุรกิจวาณิชธนกิจ ขณะนี้บริษัทมีงานที่ปรึกษาการกระจายหุ้นต่อประชาชนทั่วไป(IPO) 2-3 ราย อยู่ระหว่างเตรียมยื่นแบบแสดงข้อมูลต่อสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ส่วนจังหวะเวลาจะเข้าตลาดหุ้นเมื่อใดนั้นคงต้องรอดูสภาพแวดล้อมที่เหมาะสม แต่คงไม่ทันไตรมาสแรก นอกจากนี้ ยังมีงานที่ปรึกษาตั้งกองทุนโครงสร้างพื้นฐานของบมจ.จัสมิน อินเตอร์เนชั่นแนล(JAS) ที่คาดว่าจะยื่นไฟลิ่งเดือนก.พ.นี้
นายพิเชษฐ กล่าวว่า BLS มองว่าดัชนีตลาดหุ้นไทย(SET Index) ช่วงสั้นมองดัชนีสูงสุดที่ 1,350 จุด ต่ำสุด 1,300 จุด ซึ่งมองว่าดัชนีไม่ควรต่ำกว่า 1,300 จุด แต่ขึ้นอยู่กับข่าวที่เกิดขึ้นในแต่ละวัน ขณะที่ส่วนสถานการณ์ทางการเมืองหากลากยาวไปถึงไตรมาส 3/57 หลายฝ่ายกังวลว่าดัชนีอาจจะลดลง และภาพรวมอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจ(GDP)ปีนี้อาจต่ำกว่า 3%
"การเมืองอย่างนี้เป็นเรื่องของความไม่แน่นอน ตลาดหุ้นไทยจะเล่นข่าวเป็นรายวัน ช่วงสั้น มองดัชนี 1,300 จุด นิดๆ คงไม่วิ่งไปไกล และลงไปกว่านี้ ทุกอย่างขึ้นกับสิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคต ส่วนถ้าหากการเมืองยืดเยื้อถึงไตรมาส 3 แน่นอนว่ากระทบเศรษฐกิจ การลงทุนชะลอตัว กระทบผลตอบแทนบจ. อาจทำให้สภาพตลาดปรับลงได้"
สำหรับหุ้นที่ควรหลีกเลี่ยงช่วงนี้ ได้แก่ หุ้นกลุ่มท่องเที่ยว โรงแรม พร็อพเพอร์ตี้ ขณะที่หุ้นที่แนะนำ เป็นหุ้นที่เกี่ยวกับปัจจัยภายนอก เพราะต่างประเทศฟื้นตัว แนะนำ กลุ่มส่งออก โดยมีชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิคส์เป็นพระเอก อาทิ DELTA HANA KCE ได้รับผลบวกจากปัจจัยต่างประเทศ, กลุ่มอาหาร CPF, กลุ่มปิโตรเคมี PTTGC เพราะผูกราคากับต่างประเทศ
นอกจากนี้ แนะนำหุ้นปันผลสูง เพราะในช่วงมี.ค.-เม.ย.เป็นช่วงจ่ายปันผล ให้มองหุ้นที่มีอัตราผลตอบแทน (Dividence Yield) 5-6%
ส่วนคำแนะนำนักลงทุน ในระยะ 3-6 เดือนให้มองหุ้น KBANK BECL SCC THCOM CPF CPN PTTGC ส่วนหุ้นกลุ่มชิน เป็นไปตามข่าว แนะนำว่าควรชั่งน้ำหนักให้ดี แต่ในเชิงพื้นฐาน จ่ายปันผลดี เป็นจังหวะเข้าลงทุน